4เมษา 4โมงเย็น จตุพรนัด ถกคู่ขัดแย้ง วางแนวทางไล่“ประยุทธ์” ชี้คือต้นตอทุกปัญหาของชาติ

เมื่อ 26 มี.ค. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และ 30 องค์กรประชาธิปไตย จัดระดมความคิดเห็น หัวข้อสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ภายใต้สโลแกน “ไทยไม่ทน” เชิญประชาชนร่วมหาทางออกให้กับชาติบ้านเมือง

นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และจะทวีความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดซ้ำรอยเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อีกครั้งหากยังปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป เพราะศูนย์กลางและเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมไทยอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ของประเทศไทยตั้งแต่ยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ร่วม 7 ปีที่ผ่านมา คนไทยอยู่ในสภาพถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศตั้งแต่ยึดอำนาจจนถึงตอนนี้ไม่สามารถทำได้แต่เพียงเรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้กับคนไทยในชาติ เรื่องการปฏิรูปประเทศและล่าสุดก็เบี้ยวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ตลอดที่ผ่านมา ตนก็ได้พูดคุยหารือกัน หากเราไม่สามารถจัดการกับพล.อ.ประยุทธ์ได้ภายใต้สถานการณ์นี้ ก็จะไม่มีวันที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะทั้งการออกแบบการสืบทอดอำนาจ การวางแผนเพื่อยื้อเวลาการร่างรัฐธรรมนูญโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่เป็นการร่างตามสั่ง ตลอดจนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเสมือนการสมคบคิดเป็นขั้นเป็นตอน

วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า สามัคคีประชาชน ดังนั้นปัญหาหลักอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ และปัญหาเรื่องมาตรา 112 นั้นก็อยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ เพราะไปแถลงว่าจะไม่ใช้มาตรา 112 พอตอนหลังก็กลับคำพูดใช้มาตรา 112 ดึงสถาบันลงมา

ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญที่พล.อ.ประยุทธ์ ท้าให้ไปแก้ให้ได้นั้น ตนก็สรุปว่าถ้าแก้ให้ได้ต้องไล่พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นถัดจากนี้ไปต้องใช้เวลาไปพูดคุยกับคู่ขัดแย้งในรอบ 15 ปีนี้ พร้อมนัดจัดกิจกรรมหารือกันอีกครั้งในวันที่ 4 เมษายน เวลา 4 โมงเย็น ที่สวนสันติพร พฤษภาประชาธรรม (ถนนราชดำเนิน)

นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า ข้ออ้างการทำรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ เรื่องหนึ่ง คือการขจัดการทุจริตคอรัปชั่น แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลับไม่ได้ทำอะไร ได้แต่โกหกประชาชนนับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไปหลงเชียร์ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่ยังไม่มีคนนำออกมาไล่พลเอกประยุทธ์อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน กล่าวถึงที่ดินรถไฟที่บุรีรัมย์ ถูกนักการเมืองชื่อดังนำไปทำสนามฟุตบอล และคนที่เกี่ยวข้องมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็นั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในรัฐบาลนี้มีจำนวนมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา จึงขอสรุปสั้นๆว่า เดือนพฤษภาคมนี้เจอกันแน่นอน

น.ส.ณัฎฐา มหัทธา นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง กล่าวว่า ในประเทศไม่ว่าเห็นต่างกันอย่างไรสุดท้ายก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงขอเสนอให้ใช้คำว่า ต่อสู้ให้น้อยลง และให้ใช้คำว่าหาทางออกแทน ส่วนหัวใจและจุดเริ่มต้นของการหาทางออกเดินหน้ารัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย จะต้องมีการทบทวนใหม่ทั้งหมดเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ความลำดับสำคัญ

แต่เมื่อรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ เราก็ไม่สามารถไปโฟกัสที่ ส.ส.ร.ได้ เพราะจะไม่ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากมีการทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง ดังนั้นขอเสนอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราในการเข้าสู่อำนาจ เช่น มาตรา 272 ที่ ส.ว.ยังมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แก้มาตราที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ระบบการเลือกตั้ง เอาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบกลับมา ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนต้องใช้เวลาเนื่องจากต้องทำให้การทำประชามติที่เป็นธรรมเกิดขี้นก่อนไปประชามติรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

น.ส.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย หรือ P-Net กล่าวว่า คนไทยไม่ทนแล้วตอนนี้เรามีหนี้สิน 1 ล้านๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบในอนาคต เมื่อถึงเวลาก็จะมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจาก 7 เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเมื่อมีการรวมศูนย์อำนาจกันแล้วจะไปสู้ได้อย่างไร อีกทั้งการทุจริตคอรัปชั่นพุ่งขึ้นสูงมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการรวมศูนย์ไม่ได้มีการกระจายอำนาจที่แท้จริงซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างพื้นฐานมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับไหนๆก็ ไม่มีการกระจายอำนาจเพราะโครงสร้างหลักคือการรวมศูนย์

นายกมล กมลตระกูล กรรมการนโยบายสภาของผู้บริโภค กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 นั้นเปรียบเสมือนต้นไม้พิษ ทำให้ 3 เสาหลักไม่ยึดหลักธรรมาภิบาล มีการตัดสินคดีความมีการตั้งข้อกล่าวหาจับกุมคุมขังที่สวนทางกับหลักนิติธรรม ส่วนในด้านนิติบัญญัติที่เป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญคือการทะเลาะวิวาทเป็นเสมือนสภาปาหี่ แต่ขณะเดียวกันทำให้ฝ่ายบริหารได้บริหารราชการแผ่นดินตามใจชอบ จนทำให้เกิดหนี้สินจำนวนมาก

ส่วนข้อเสนอนั้นตนขอเสนอให้มีการเลือกตั้งทางตรงทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายกระทรวง เพื่อแก้ไขปัญหาการคอรัปชั่นทั้งบทบาทของหัวคะแนนและค่าต๋ง ส.ส. นอกจากนี้จะต้องมีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเช่น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด รวมถึงทำให้ระบบราชการอ่อนลง ขณะเดียวกันกระจายอำนาจการเก็บภาษีให้จังหวัดของตัวเองได้ โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตเพื่อให้การพัฒนาท้องถิ่นเป็นไปได้

นายสุวิช ศุมานนท์ ประธานสมาพันธ์คนงานรถไฟไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมา 7 ปีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการหาเสียงในนโยบายที่เกี่ยวกับการพัฒนาประเทศทั้งเรื่องเด็กและเยาวชน การประกันสุขภาพ ที่อยู่อาศัย บำนาญผู้สูงอายุหรือแม้กระทั่งเรื่องสิทธิทางสังคมเหล่านี้เป็นนโยบายที่หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง

แต่สิ่งที่ตามมาคือภาคเศรษฐกิจภาคสังคมล้มเหลว ซึ่งเป็นผลมาจากผู้นำอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นหากแก้ปัญหาที่ตัวผู้นำคนเดียวคือนายกรัฐมนตรีแต่จะแก้ปัญหาได้อย่างไรเพราะการได้มาซึ่งนายกมนตรีมาจากรัฐธรรมนูญ ที่มี ส.ว.มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ยังทำเกิดความขัดแย้งและมีการดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง แทนที่จะสร้างความปรองดอง ดังนั้นหากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่ต่อไปเรื่อยๆประเทศนี้จะอยู่อย่างไร

นายนคร มาฉิม อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อเผด็จการร่วมมือกับนายทุนขุนศึก ศักดินาและอำมาตย์ ก็สามารถที่จะปกครองสร้างกฎและกติกา เป็นพิมพ์เขียวของรัฐธรรมนูญหลังจากยึดอำนาจ โดยจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อครองอำนาจให้ยาวนานที่สุด ด้วยการสร้างกฎกติกาที่ยอมรับสร้างความชอบธรรมให้กับคนเหล่านี้

ดังนั้นมีวิธีการเดียว คือเราต้องเดินหน้ารวมกลุ่มสร้างสภาประชาชนและไม่ยอมรับสภาเผด็จการในปัจจุบัน และทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นเผด็จการและสร้างกฎกติกาหลังใหม่ที่เป็นของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชนเท่านั้นถึงจะได้ประชาธิปไตย