ครม.ทุ่ม6.3พันล.ซื้อวัคซีนต้านโควิด 35ล้านโดส ‘เชียงใหม่’ยันไม่มีลัดคิวฉีดให้ ’วีไอพี’

วันที่ 3 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณ 6,387,285,900 บาท สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดเพิ่มเติม 35 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมการฉีดคนไทยอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2564

ทั้งนี้ โครงการจัดหาวัคซีนโควิดกับบริษัท แอสตร้า เซนเนก้า เพิ่มเติม 35 ล้านโดส วงเงินรวม 5,673.67 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าวัคซีน 5,302.50 ล้านบาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 371.17 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพื่อรองรับการฉีดวัคซีน 713.61 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการช่วงเดือนมิถุนายน-ธันวาคม

นายอนุชากล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด แบ่งเป็นระยะที่ 1 เดือนมีนาคม-พฤษภาคม จำนวน 2 ล้านโดส ใน 18 จังหวัด และระยะที่ 2 เดือนมิถุนายน-ธันวาคม จำนวน 61 ล้านโดส ในทุกจังหวัด รวมจำนวนวัคซีนที่ให้กลุ่มเป้าหมาย ทั้งสิ้น 63 ล้านโดส การได้รับวัคซีนโควิด จะลดอัตราการป่วย เสียชีวิต รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด ฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

ขณะที่สำนักงานประปาส่วนภูมิภาค จ.เชียงใหม่ นายวีระพันธ์ ดีอ่อน รองผู้ว่าฯเชียงใหม่ และนพ.วรเชษฐ เต๋ชะรัก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ แถลงปฏิเสธกรณีข่าวการฉีดวัคซีนโควิดวันแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านให้วีไอพี โดยยืนยันว่าไม่มีใครเป็นวีไอพีแน่นอน

โดยการฉีควัคซีนเมื่อวันที่ 1 มีนาคม มีบุคลากรทางการแพทย์มากที่สุด และกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อสม. และเจ้าหน้าที่ด้านการท่องเที่ยว ที่สัมผัสกับบุคคลที่เดินทางเข้ามาทั้งสนามบิน และการ เดินรถ ซึ่งเราจัดสรรในกลุ่มนี้เพียง 300 คน ในล็อตแรกเท่านั้นจาก 1,450 คน โดยเริ่มฉีดวันแรกไป 140 คน เป็นแพทย์ 73 คน และอีก 67 คน ซึ่งกระจายกันไปทั้งฝ่ายปกครอง อสม. ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ด้านการท่องเที่ยว ไม่มีการลัดคิวให้วีไอพีใดๆ

ส่วนที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แสดงตัวอย่างหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนโควิด พร้อมกล่าวว่า ในวันที่ 8 มีนาคม จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งจะมีการหารือถึงการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด ที่ออกโดยกรมควบคุมโรคตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ สามารถใช้แนบไปกับพาสปอร์ตเวลาเดินทาง สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศแล้ว