‘พิธา’ สรุปความล้มเหลวรัฐบาล ‘ประยุทธ์’ ไม่เข้าใจการเป็นนายกฯ ในระบบ ปชต.- ดึงสถาบันปกป้องตัวเอง

‘พิธา’ จวก ‘ประยุทธ์’ ไม่เข้าใจการเป็นนายกฯ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ดึงสถาบันปกป้องตัวเอง ปลุกสภาโหวตไม่ไว้วางใจ เท่ากับแกะสลักให้ประเทศได้เดินหน้า

เมื่อเวลา 20.20 น. วันที่ 19 ก.พ.64 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า รัฐบาลฉ้อราษฎร์บังหลวง เอื้อประโยชน์นายทุน ทำลายระบบนิติรัฐ เพื่อพวกพ้องตนเอง ทั้งที่พูดบ่อยครั้งว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย แต่ความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์ มีกฎหมาย 3 ชุด คือ 1.กฎหมายสำหรับคนธรรมดาสามัญชนที่กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย 2.กฎหมายสำหรับคนรวย เจ้าสัว คนใกล้ชิดรัฐบาลที่อยู่เหนือกฎหมาย และ 3.กฎหมายที่มีไว้สำหรับผู้เห็นต่างจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรมว.กลาโหม แต่ชัดเจนว่าปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในกองทัพ

และวันนี้ยังไม่มีการปฏิรูปกองทัพตามที่ท่านเคยสัญญาไว้ พล.อ.ประยุทธ์ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน มีคนจนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคน หากรัฐบาลจะอ้างว่าเศรษฐกิจย้ำแย่เพราะโควิด–19 คงไม่ถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด–19 นอกจากนี้ ขณะนี้ทั่วโลกมีประชากรได้ฉีดวัคซีนแล้ว 168 ล้าน แต่ในจำนวนนี้ไม่มีคนไทยได้ฉีดเลยแม้แต่เข็มเดียว ทั้งที่วัคซีนคือเศรษฐกิจ คือปากท้องของประชาชน ท่านไม่มีการบริหารความเสี่ยงไม่เข้าใจสถานการณ์ ไปเชื่อมั่นรอวัคซีนจากบริษัทเดียว

นายพิธา อภิปรายด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ บกพร่องร้ายแรงที่สุดคือความไม่เข้าใจหลักการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และวิธีปฏิบัติของนายกฯ ในระบอบนี้ โดยระบอบนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ประชาธิปไตย ราชอาณาจักร และระบบรัฐสภา ซึ่งในรัฐธรรมนูญมีการประสานหลักการเหล่านี้ไว้ในมาตรา 3 ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ปี นายกฯ ไม่เข้าใจในการเป็นนายกฯ ในระบอบนี้ โดยอ้างพระมหากษัตริย์เป็นเกราะคุ้มกันปกป้องตัวเองตลอดเวลา

ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ความกลัวด้วยการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ดำเนินคดีกับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน ตนไม่เชื่อว่าการใช้มาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อจะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันเลยแม้แต่น้อย และหลังจากนี้ยังมีแนวโน้มที่ยังมีเยาวชนหลายร้อยคนจะถูกจองจำด้วยมาตรา 112 ซึ่งการใช้กฎหมายมาตราดังกล่าวจะยิ่งจะสร้างความแตกร้าวระหว่างประชาชนกับสถาบันมากขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมาพวกตนพยายามหาทางออกด้วยการใช้กระบวนการทางสภา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมีแต่อคติบังตา กล่าวหาว่าพวกตนอยู่เบื้องหลังว่าล้มล้างสถาบัน และเมื่อมีคนมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลยังมาอ้างสถาบันอีก ตนเชื่อว่าประชาชนไม่ว่าอยู่จังหวัดไหนไม่มีใครอยากมาม็อบ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้มีม็อบ ผู้มีอำนาจต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้มีม็อบ ต้องบริหารประเทศตามรูปตามรอยในทุกๆ ด้าน จะต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พอทำไม่ได้แล้วเอาสถาบันมาอ้างปิดบังความล้มเหลว ความผิดพลาดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าตนเป็นเป็นนายกฯ จะไม่ปล่อยให้มีการพูดเรื่องสถาบันไปเรื่อยจนไปไม่มีทางออกแบบนี้ แต่จะเอาเรื่องนี้มาไว้ในพื้นที่ในสภาเพื่อให้คนทุกกลุ่ม ทุกพรรคได้พูดคุยกันด้วยเหตุผลอย่างมีวุฒิภาวะ

นายพิธา กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2562 พล.อ.ประยุทธ์ นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญกำหนด พอมีคนจับได้แทนที่จะแสดงความรับผิดชอบหาทางออก แต่กลับบอกว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลกับสถาบัน และไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ทั้งนี้ สิ่งที่นายกฯ ที่ดีควรทำในระบอบนี้ คือ ควรเป็นห้ามล้อไม่ให้พระราชอำนาจไปขัดแย้งรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่เป็นกันชนไม่ให้เรื่องเสื่อมเสียกระทบไปถึงสถาบัน นายกฯ ที่ดีต้องปกป้องสถาบันไม่อ้างพร่ำเพรื่อ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนทางการเมืองให้กับตนเอง และต้องเชิดชูสถาบันให้อยู่เหนือการเมือง

“เวลานี้ประเทศไทยมาถึงทางสองแพ่ง ถึงเวลาแล้วที่สภาจะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ หรือเลือกประเทศ ถ้าเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีประเทศหลงเหลือ แต่ถ้าเลือกประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นสิ่งแรกที่ต้องแกะสลักออก ถ้าสภาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เท่ากับเรามองอนาคตของชาติเป็นภัยต่อความมั่นคง เอาอนาคตของประเทศไปคุมขังไว้ ทั้งที่ประเทศต้องการอนาคตมากที่สุด ถ้าสภาลงมติไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป เท่ากับเราเห็นชอบในธรรมเนียมของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการอ้างพระราชกระแสมาปกป้องความผิดพลาดของตัวเอง ดังนั้น ถ้าสภาเลือกประเทศโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นการถอดสลักประเทศให้ได้เดินหน้าได้เสียที” นายพิธา กล่าว