ขอบคุณข้อมูลจาก | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
วันที่ 19 ก.พ. 2564 เมื่อเวลา 10.30 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯว่า
ทั้งสองบริหารราชแผ่นดินล้มเหลว และไม่โปร่งใสที่มีต่อการบริหารราชการตำรวจ จนกลายเป็นที่ซ่องสุ่มกลุ่มที่จะกอบโกยยศและตำแหน่งไว้กับตนเองและพวกพ้อง ตั้งแต่สมัยพล.อ.ประวิตร กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ตั้งแต่ปี 57 มีการปล่อยปละละเลยให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้ามาบ่งการการแต่งตั้งโยกกย้ายตำแหน่งจนก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์และการใช้เส้นสายในวงการตำรวจ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามากำกับดูแลด้วยตนเอง ก็ยังปล่อยให้คนเหล่านั้นลอยนวลต่อไป ทำให้วงการตำรวจเพิกเฉยต่ออาชญากรรม กระทำกับผู้บริสุทธิ์ เปิดบ่อนไม่ว่า ค้ายาไม่สอบ เจอเจ้าพ่อน้อมนอบ แต่เจอม็อบสู้ตาย
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทำให้เป็นเวทีของคนฝั่งรัฐบาลและตำรวจมาพูดคุยและตัดสินใจในงานของตำรวจและการโยกย้าย แต่กลับละเลยการดูแลปัญหา จนเกิดปัญหาเรื่องตั๋วตำรวจ ตั๋วที่มีแล้วจะได้ทุกอย่าง ซื้อตำแหน่งได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม และมีการทำหนังสือราชการ เป็นตั๋วจากคนที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอสนับสนุนการขอรับตำแหน่งให้กับนายตำรวจบางนายข้ามหน่วยงาน ถามว่าอาศัยกฎหมายอะไร เพราะการแต่งตั้งมีขั้นตอนตามกฎระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว ถามว่าพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร รับทราบเรื่องนี้หรือไม่ รวมทั้งการเลื่อนขั้นนายตำรวจบางนายที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ก.ตร. ทำให้คนทำงานเสียกำลังใจและทำลายระบบคุณธรรมของตำรวจ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ดังนั้น ข้อกล่าวหาคือ นายกฯ และพล.อ.ประวิตร ปล่อยให้บุคคลภายนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาแทรงแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ทำให้ตำรวจจำนวนมากต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยอื่น ซึ่งตั๋วที่ตนรวบรวมมานั้น มีทั้งของผบ.ตร. พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง “ตั๋วช้าง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายรังสิมันต์พูดถึงตั๋ว ถูกประท้วงจากส.ส.พปชร. ขณะที่ประธานที่ประชุม ขอไม่ให้อภิปรายเรื่องตั๋วอีก
นายรังสิมันต์ กล่าวในตอนท้ายว่า ในการทำหน้าที่ส.ส. รู้ว่าครั้งนี้เป็นการทำหน้าที่อันตรายที่สุดในชีวิต แต่เมื่อประชาชนเลือกมาแล้วก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ตนไม่รู้ว่าผลจากการทำหน้าที่ในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่า 3 วันข้างหน้า หรือ 3 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังพูดแทนประชาชนได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนไม่เสียใจที่ได้ทำหน้าที่ในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการอภิปราย นายรังสิมันต์ ได้พาดพิงถึงบุคคลภายนอกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบิ๊กข้าราชการตำรวจระดับสูงหลายนาย จนทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา และนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ทำหน้าที่สลับกันเป็นประธานประชุม ต้องคอยกำชับเป็นระยะว่าห้ามพาดพิงบุคคลภายนอก หากยังพูดพาดพิงอีกจะไม่อนุญาตให้อภิปรายต่อ ซึ่งระหว่างนั้นมีส.ส.พปชร.หลายคนลุกขึ้นประท้วงขอให้อภิปรายในประเด็น ขณะที่ส.ส.ฝั่งฝ่ายค้านหลายคนก็ประท้วงการทำหน้าที่ของประธานที่ประชุมเช่นกัน
ขยี้ต่อนอกรอบ
จากนั้น นายรังสิมันต์ ได้ออกมาอภิปรายต่อที่ห้องพรรคก้าวไกล ชั้น 6 อาคารรัฐสภา อภิปรายเน้นย้ำถึงประเด็นเรื่องตั๋วตำรวจ โดย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า บัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจกว่าพันนายก็มีตั๋ว (จดหมายฝากตำแหน่ง) ของ ผบ.ตร.ซึ่งไม่ทราบว่า นายกฯ และพล.อ.ประวิตรเคยทราบหรือไม่ ระแคะระคายหรือไม่ว่าผบ.ตร.ก็มีตั๋ว ซึ่งมีหลักฐานเอกสารตารางรายชื่อก็จะเห็นข้อความที่เขียนกำกับว่าสร.1 คือรหัสวิทยุที่หมายถึงนายกฯ ก็เช่นเดียวกับของผบ.ตร. ที่ขอสนับสนุนแต่งตั้งตำรวจ มีนับร้อยคนกระจายตามหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศและได้รับแต่งตั้งถ้วนหน้า และในเอกสารดังกล่าวยังมีข้อความน่าสนใจด้วยว่ามีพันตำรวจโทคนหนึ่งตำแหน่งรองผู้กำกับการจะขอย้ายสังกัดแต่มีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือข้อความว่า นายป้อมให้เข้าฝอ. เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าสุดท้ายพันตำรวจโทคนนี้ได้ย้ายจริงแต่ไม่ใช่ตามที่ขอแต่เป็นไปตามที่นายป้อมให้ คือไปเป็นรองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการที่ภูธร ภาค 1 ซึ่งลายมือดังกล่าวไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียนและไม่รู้ว่านายป้อมคือป้อมไหน
นอกจากตั๋วที่ได้กล่าวๆ มาแล้วก็ยังมีอีกตั๋วหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2562 มีการเขียนขอสนับสนุนแต่งตั้งนายตำรวจ 20 นายเพื่อให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เมื่อดูรายชื่อพบว่า เป็นนายตำรวจจากหลายสังกัดและนามสกุลซึ่งเป็นที่รู้จักและพบว่าในเวลาต่อมานายตำรวจเหล่านี้ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ชอบๆ กันถ้วนหน้า และในปีต่อๆ มาหลายคนก็ได้เลื่อนขั้นมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ดังนั้นไม่แน่ว่านี่อาจจะไม่ใช่ตั๋วที่ใช้ครั้งเดียวจบแต่อาจจะใช้ไปได้ยาวๆ ตลอดชีวิตราชการ เพราะหลายคนแม้ว่าดำรงตำแหน่งไม่ครบตามหลักเกณฑ์ก็ได้รับการยกเว้นให้เพื่อได้เลื่อนขั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตั๋วเหล่านี้นอกจากช่วยให้เลื่อนขั้นได้เร็วยังช่วยลบความผิดพลาด ล้างมลทินในอดีตให้เลือนหายไป จนสามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้
สำหรับจดหมายฝากตำแหน่ง ที่ดีที่สุดและไม่เคยได้รับการปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร ตั๋วดังกล่าวคือ “ตั๋วช้าง” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงการตำรวจ โดยตนมีเอกสารหลักฐานดังกล่าวซึ่งเห็นแล้วชวนขนลุก เนื่องจาก มีการอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้าราชการตำรวจที่มีความ จงรักภักดี ซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร ในการปฎิบัติหน้าที่ และท้ายหนังสือลงลายมือชื่อกำกับโดย คนหนึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้ชายซึ่งขอไม่เอ่ยนาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. ปล่อยให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถือเป็นความผิดมากพอที่จะทำให้ไม่คู่ควรกับการดำรงตำแหน่งในรัฐบาลต่อไป
จึงขอถามตรงๆ ว่าพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร กล้าดีอย่างไร ที่ให้ผบ.ตร. ไปติดต่อกับคนของส่วนราชการอื่นที่ไม่มีธุระกับงานตำรวจ และยังดึงสถาบันเข้ามามีส่วนเกี่ยวกับการโยกย้ายนายตำรวจ ไม่เชื่อว่านายก กับพลเอกประวิตร จะไม่รู้เรื่องว่ามีเรื่องเหล่านี้ วนเวียนอยู่ในวงการตำรวจ ดังนั้นคำถามคือ เป็นใบ้ หรืออย่างไรจึงปล่อยให้มีเอกสารดังกล่าว แล้วยังไม่ดำเนินการกับกลุ่มคนที่ทำหนังสือฉบับนี้และนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว นำไปแอบอ้าง แต่กลับให้ลอยนวลอยู่ได้
การมีอยู่ของเอกสารดังกล่าว และการมีอยู่ของตั๋วช้าง ทำให้เกิดความสมยอมในการกระทำผิด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร ที่ได้ข้อมูลมาซึ่งตั๋วเหล่านี้มีมูลค่าหลักล้าน หลายล้าน ก็เท่ากับว่าสุดท้ายตำรวจก็ต้องลงเอยด้วยการเก็บกินจากบ่อน จากธุรกิจผิดกฎหมาย จากการค้ามนุษย์
สุดท้ายทำให้เห็นว่าการเข้ามาทำงานของพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ปล่อยประละเลยสร้างปัญหาให้ประเทศและประชาชน ทำซะเหมือนตำรวจเป็นของเล่นไม่มีหัวใจ ปล่อยให้ตำรวจที่มีเส้นสายเจริญเติบโต ยกเว้นหลักเกณฑ์ให้โดยอำนาจ ไปจนถึงให้คนนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เข้ามาแทรกแซง เพื่อพวกพ้อง ดังนั้นจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร สุดท้ายตำรวจนับแสนคนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของระบบที่เลวร้าย โดยที่นายกปล่อยให้ระบบเหล่านี้มีอยู่ต่อไป ดังนั้นจะรับผิดชอบอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้วงการตำรวจ ถูกบงการโดยอำนาจนอกระบบ แต่ถ้านายกบอกว่าไม่รู้เรื่องเลยแสดงว่าไม่มีน้ำยา ดังนั้นจึงขอไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป