ประยุทธ์ บอกรังเกียจคนหนีคดีไป ตปท ยันสั่งเร่ง ‘คดีบอส’ เย้ยไม่เคยเป็น รบ.ไม่เข้าใจกระบวนการ

ประยุทธ์ ลั่นรังเกียจคนหนีคดีไปต่างประเทศ ยันสั่งเร่งคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ เอามาลงโทษ เย้ย ‘ธีรัจชัย’ ไม่เคยเป็นรัฐบาลไม่เข้าใจกระบวนการ

เมื่อเวลา 21.20 น. วันที่ 16 ก.พ. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงถึงกรณีถูกอภิปรายเรื่องแทรกแซงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสะเทือนใจของทุกคนในสังคมรวมถึงตนด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 แต่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าคดีดังกล่าวมีการดำเนินการที่ล่าช้าผิดปกติ มีข้อสงสัยจากกสาธารณชนว่ามีความช่วยเหลือเป็นกระบวนการทำลายความเชื่อมั่น และศรัทธา ต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ตนก็รับไม่ได้เหมือนกัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ท่านจะบอกว่าตนได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ ตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตนรังเกียจคนพวกนี้ หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ออกหมายอะไรไปก็แล้ว แต่ไม่เคยได้กลับมาสักคนเลย คดีอื่นก็เหมือนกัน แต่ขอขอบคุณสำหรับข้อมูล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะกรรมการฯ กำหนดให้มีการรายงานผลการสอบสวนให้ตนทราบทุก 10 วัน มีการเชิญเจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิ อัยการ ตำรวจ ผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง ตนขอย้ำว่าได้อ่านเอกสารที่คณะกรรมการส่งมาทุกหน้า และรู้สึกว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีกในประเทศไทยไม่ว่ากับใครก็ตาม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนทำได้ในฐานะนายกฯ คือเร่งรัดคดีนี้ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถูกต้อง ต้องเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายวรยุทธ ในคดีที่ยังไม่ขาดอายุความภายใน 30 วัน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีอาญากับนายวรยุทธในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุเฉี่ยวชนให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และข้อหาเสพยาเสพติดโทษ มีการออกหมายจับ และประสานสานงานกับอินเตอร์โพลออกหมายแดง เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งทางอินเตอร์โพลได้ออกหมายแดงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2563

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กำลังประสานงานกับตำรวจสากล เพื่อนำผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ตนได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานกลาง กำกับติดตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง 5 หน่วยงาน ทั้งนี้ ป.ป.ท.สรุปรายงานมาว่า เมื่อตรวจสอบก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทำความผิด ช่วยเหลือนายวรยุทธ

นายกฯ ชี้แจงยืนยันว่า ไม่เคยนิ่งนอนใจ เพราะตนรังเกียจคนที่ทำผิดกฎหมายและหนีคดี และอยู่ต่างประเทศ โดยจะดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้อง และเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ในส่วนของคดีที่ฟ้องไปในขณะนี้คดีจะหมดอายุความในวันที่ 4 ก.ย.2570 จึงยังมีเวลาอยู่ ส่วนความร่วมมือต่างประเทศ กองการต่างประเทศของตำรวจ ได้ทำถูกต้องตามกระบวนการความร่วมมือตำรวจสากล ซึ่งหมายแดงนั้นเป็นการขอความร่วมมือว่าบุคคลนั้นเป็นที่ต้องการตัว แต่ไม่มีผลที่จะให้ประเทศต่างๆ เข้าจับกุม

“ส่วนกรณีหมายแดงที่อ้างอิงหมายเลขพาสปอร์ตปลอมนั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่าเลขพาสปอร์ตจะเปลี่ยน แต่ภาพถ่าย และลายนิ้วมือยังอยู่ ไม่ส่งผลต่อเลขพาสปอร์ตแม้จะเปลี่ยนกี่เล่มก็ตาม ยืนยันว่า รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ และไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่เรื่องคดีต้องใช้เวลาพอสมควรผลีผลามไม่ได้ หลายคนหนีคดีและสู้คดีหลายปีก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน และวัตุพยาน กับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

จากนั้น นายธีรัจชัย ลุกขึ้นอภิปรายว่านายกฯไม่ยอมตอบให้ชัดในสิ่งที่ตนตั้งคำถามเกี่ยวกับคดีนายวรยุทธ เช่น เรื่องการไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนผบ.ตร. กรณีการโยนเรื่องให้อัยการสอบกันเอง กรณีเกี่ยวกับส.ว.เข้าไปแทรกแซง รวมถึงการตั้งกรรมการสอบตัวนายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ตนอยากให้นายกฯกลับไปแก้ไขทำให้ได้ ถ้าไม่ทำท่านอย่าอยู่ในตำแหน่งนายกฯนี้เลย

ทำให้นายกฯ ลุกขึ้นกล่าวสวนทันทีว่า “ท่านไม่เคยเป็นรัฐบาลจึงไม่เข้าใจว่ากระบวนการต่างๆ เป็นอย่างไร ใช้เวลาอย่างไร ท่านพูดเสมอว่าผมเลือกส.ว.มาหมด 250 คน แต่ที่จริงมีอยู่ 50 คนที่เลือกมาจากประชาชน” นายกฯ กล่าว