“พิชัย” ชี้ ความผิด “ประยุทธ์” หลังสภาพัฒน์ฯเผยจีดีพีปี 63 ติดลบ 6.1% หวั่นไทยล้าหลังเหมือนพม่ายุคทหาร

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ขยายตัวติดลบ – 6.1% ซึ่งถือว่าหนักมากเพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาตลอด 6 ปีนี้ โดยปีนี้คาดกันว่าน่าจะโต 2.5-3.5% แต่อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง ทั้งนี้เพราะความล่าช้าของการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล จะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นได้ล่าช้าตามไปด้วย การขยายตัวติดลบมากและการฟื้นตัวได้น้อยนี้ แสดงถึงอาการเศรษฐกิจที่ป่วยตั้งแต่มีการปฏิวัติตามที่สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ไว้ โดยไทยอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะฟื้นมาที่จุดเดิมก่อนที่จะมีวิกฤตไวรัสโควิด ซึ่งก็ยังย่ำแย่อยู่ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจ SMEs ขาดทุน และ เจ๊งกันเป็นจำนวนมาก ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างหนัก และโอกาสของประชาชนก็จะลดลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะโอกาสของคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ถ้าคนที่ไม่อยากตายจน แต่ต้องมาตายจน จะต้องโทษ พลเอกประยุทธ์เลยที่บริหารประเทศได้ล้มเหลวและย่ำแย่

ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันภาวะการเงินของไทยยังมั่นคง ไทยยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง การคลังของไทยยังไม่ได้ล้มละลายตามที่มีการพูดถึง แต่สภาวะเศรษฐกิจจะเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เป็นหายนะแบบสโลโมชั่น เพราะแม้ไทยมีเงินทุนสำรองมากที่สะสมมาจากหลายรัฐบาลในอดีต พลเอกประยุทธ์กลับไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างโอกาสให้กับประชาชน การลงทุนหดหาย การส่งออกปี 63 ติดลบมากทำให้ตลอด 6 ปีแทบไม่ขยายตัวเลย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนแทบไม่มีเหลือ แถมค่าเงินบาทกลับแข็งค่าทั้งที่เศรษฐกิจไทยทรุด ธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่เกิดขึ้น นี่จะเป็นสาเหตุของความหายนะของเศรษฐกิจไทยในแบบสโลโมชั่น หากพลเอกประยุทธ์ยังไม่เข้าใจและยังไม่สามารถพัฒนากรอบคิดได้

ดังนั้น อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษากรอบคิดที่อดีตนายกได้แนะนำ ซึ่งคล้ายกับที่ตนได้เคยเตือนไว้แล้ว เช่น การประกาศสงครามกับความยากจน โดยต้องจัดงบประมาณใหม่ที่เน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยต้องตัดงบการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ออกไปก่อนเพื่อนำเงินมาพัฒนาเศรษฐกิจ เรื่องการรู้เท่าทันทุนนิยมสมัยใหม่ที่มีเทคโนโลยีด้วย การพัฒนาแพลตฟอร์มของราชการและของเอกชน การทำ Negative Income Tax เพื่อให้ทุกคนในประเทศมารายงานรายได้ คนไหนมีรายได้สูงก็จ่ายภาษี คนไหนมีรายได้น้อยกว่าระดับความเป็นอยู่มาตรฐาน (Universal Basic Income-UBI รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า) รัฐก็ช่วยจ่ายเงินสนับสนุน ในระดับที่รัฐพอจ่ายได้ ตามสถานะการคลังที่ประเทศรับได้ ซึ่งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังคงแจกเงินแบบสะเปะสะปะกันอยู่ในปัจจุบัน น่าจะต้องหันกลับมาคิดให้เป็นระบบ หรือ จะก้าวไปเป็นรัฐสวัสดิการก็ยังทำไม่ได้เพราะรายได้ของรัฐยังไม่เพียงพอแถมประเทศที่มีรัฐสวัสดิการในปัจจุบันกำลังประสพปัญหาอย่างมากจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของรัฐสวัสดิการ แถมหลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุที่มีแรงงานหนุ่มสาวน้อยกว่าคนแก่ที่มีเพิ่มขึ้น เหมือนที่ประเทศไทยกำลังจะประสพในไม่ช้า ดังนั้นรัฐจึงควรช่วยประชาชนในระดับที่เหมาะสมเท่าที่ฐานะการคลังของประเทศจะทำได้ อีกทั้งการรายงานรายได้ของประชาชนทุกคนจะสามารถตรวจสอบและลดการทุจริตคอรัปชั่นได้ด้วย ในกรณีที่ร่ำรวยขึ้นมาแบบผิดปกติแต่กลับไม่เคยเสียภาษึ

ทั้งนี้ รัฐบาลต้องหัดคิดล่วงหน้า เพราะในอนาคตคนอาจจะตกงานกันมาก แถมยังมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Ai) และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่อาจจะเข้ามาแย่งงานคน เพราะราคาถูกกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า รัฐต้องพัฒนาความรู้ความสามารถของประชาชน รวมถึงแรงงานในอนาคต การที่พรรคเพื่อไทยได้คิดและเคยดำเนินการโครงการแจกแท็บเล็ตเมื่อ 10 ปีก่อนก็เป็นการปูพื้นฐานสำหรับอนาคต ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิตอลมีขนาดใหญ่มากและจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่มีมูลค่าสูง และ อภิมหาเศรษฐีระดับโลกก็มาจากธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น อีลอม มัสก์ ของ เทสลา เจฟฟ์ เบซอส ของอเมซอน เป็นต้น

ในขณะที่โลกกำลังก้าวไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกลับต้องมาห่วงว่าผู้นำไทยจะมีความรู้ความสามารถเพียงพอจะนำพาประเทศเดินหน้าต่อไปหรือไม่ เศรษฐกิจไทยกำลังจะหายนะแบบสโลโมชั่นหรือแบบทฤษฎีกบต้มไหม การเมืองไทยจะกลายเป็นแบบพม่าที่ถูกทหารปกครองประเทศ 50 ปีจนทำประเทศล้าหลังหรือไม่ ถ้าไทยยังไม่สามารถมีผู้นำที่ก้าวทันโลกได้ อนาคตของประเทศไทยก็อาจจะกลายเป็นพม่ายุคใหม่ที่ต้องติดหล่มการเมืองล้าหลังไปอีกนาน