ช้าไม่ได้แล้ว! “ทักษิณ” โผล่คลิปงานแคร์ ร่วมปันไอเดียแก้ความจน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อเวลา 16.00 น. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดตัวผ่านคลิปวิดีโอในงาน คนไทย ไร้จน ซึ่งจัดขึ้นโดย CARE คิด เคลื่อน ไทย ที่ลิโด้คอนเนค โดยได้ออกมาเผยจุดเริ่มต้นของแนวคิดการแก้ไขปัญหาความยากจน และสิ่งที่ทุกคนจะเผชิญความเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนจนจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

โดยทักษิณระบุผ่านวิดีโอคลิปความยาวราว 20 นาทีว่า

วันที่ผมอัดเทปคือวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ผมได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นนายกรัฐมนตรี 20 ปีที่แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมากครับ แต่ว่าความทรงจำในสิ่งที่ได้ทำงานไปร่วมกับพี่น้องประชาชน ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ก็ยังอยู่ จะถามเรื่องอะไรก็คงยังจำได้เป็นส่วนใหญ่ และเทปวันนี้จะไปออกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ผมก็ขออนุญาตส่งความรักและความปรารถนาดี ความห่วงใย มายังพี่น้องคนไทยทุกคน ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

วันนี้หัวข้อที่เขาจะให้ผมพูด ก็คือเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน ผมคงต้องเริ่มต้นด้วย คำพูดของ บิล เกตส์ ซึ่งผมว่าเป็นคำพูดที่มีความหมายมากในตัวมันเอง บิล เกตส์ บอกว่า ถ้าเราเกิดมาจน มันไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ถ้าเรายังตายจน มันเป็นความผิดของเรา ที่ไม่พยายามจะดิ้นนแก้ปัญหา แต่ว่าถ้าเรายังไม่อยากตายจน แต่ยังต้องตายจนเนี่ย คือหมายความว่าเรามีความพยายามแล้วอะไรแล้ว เราไม่อยากตายจน แต่เรายังต้องตายจน มันเป็นความผิดของรัฐบาล  หมายความว่ารัฐบาลมีหน้าที่สร้างโอกาสให้กับประชาชนของตัวเองทุกคน เพื่อจะได้มีโอกาสได้สร้างฐานะและก็ปรับตัวเองจากคนยากจนเป็นคนไม่ยากจน สิ่งเหล่านี้พูดง่ายแต่ทำยาก

ตอนผมเรียนหนังสือ เรียนปริญาเอกอยู่ ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพิ่ง เข้ามาใหม่ ๆ เทคโนโลยีสมัยก่อนก็คือเรื่องของการพิมพ์ลายนิ้วมือ เขาใช้คำว่า ช่วงนั้นอเมริกาเริ่มเกิดทำเรื่องของฐานข้อมูลทางด้านพิมพ์ลายนิ้วมือครั้งแรก เขาใช้คำว่า spirit of times แต่ภาษาเยอรมันใช้คำว่า Zeitgeist แปลว่า spirit of times แปลว่าช่วงจังหวะของเวลาที่มีความลงตัวทุกอย่าง ความลงตัวในที่นี่เนี่ย ก็คือ เขามี 3 ข้อ หนึ่งคือ Political Support คือการเมืองสนับสนุน สองเขาบอกว่ามี Leadership ในการที่จะแก้ปัญหานั้น ๆ อันที่สามบอกว่ามี KnowHow มีความรู้ในเรื่องนั้น

ผมขอพูดทีละเรื่อง เรื่อง political support ตอนสมัยที่ผมทำเราประกาศสงครามกับความยากจน เราถือว่าความยากจน ไม่ใช่คจนนะ ความยากจนเป็นการบ่อนทำลายประเทศ เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ให้มีความยากจนเหลืออยู่ เพราะความยากจนมีผลทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย เพราะฉะนั้นวันนั้นผมจึงประกาศสงครามกับความยากจนเพราะถือว่าเป็นเรื่องจำ เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเมื่อจะประกาศสงครามกับความยากจน ผมก็ต้องทุ่มทรัพยากรในการแก้ปัญหา เพราะมันเป็นสงคราม มันเป็นสิ่งที่ต้องขจัดออกไป

วันนี้ผมก็อยากจะถามรัฐบาลว่า รัฐบาลมองความยากจนเป็นอย่างไร จะประกาศสงครามไหมครับ เราจะได้ซื้ออาวุธให้กับการแก้ปัญหาความยากจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ตั้ง iCloud ให้กับพวกการเกษตรเพื่อจะได้รู้ว่าที่ดินตรงนี้เป็นอย่างไร ฤดูฝนฟ้าเป็นอย่างไร ราคาสินค้าเกษตรเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ให้เขามีความรู้เข้าหาแหล่งความรู้ จะตั้งแหล่งทุนให้เขาไหม จะทำเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานในการแก้ปัญหาความยากจนไหม เช่น ทำไซโล ทำเรื่องของอุปกรณ์ในการแก้ปัญหา เช่น โดรน ในการพ่นยาฆ่าแมลง อันนี้เดี๋ยวเราค่อยพูดกัน อันนี้คือสิ่งที่ political supportต้องมี จะเอาจริงไหม สงครามยังไม่เกิดเลยยังซื้ออาวุธ แต่วันนี้สงครามมันเกิดแล้วก็คือสงครามความยากจน มันต้องซื้ออาวุธเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ไม่ใช่ซื้ออาวุธไปใช้สำหรับสงครามที่ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นวันนี้ Political Support จึงเป็นหัวใจสำคัญข้อหนึ่ง” ทักษิณ กล่าว

ข้อที่สองก็คือ Leadership มีภาวะการนำในการจะแก้ไขปัญหาความยากจนจริงหรือเปล่า อันนี้ต้องถาม พร้อมจะนำไหม ท่านมีความมุ่งมั่นไหม มีความต้องการจะขจัดมันจริง ๆ ไหม ถ้ามีต้องลงมาเล่นเอง ต้องทุ่มทั้งตัว ลงไปเล่น เพราะฉะนั้น วันนี้ Leadership จึงมีความสำคัญ 2 ข้อแล้วนะครับ

ข้อที่สาม จึงเป็นเรื่องของ KnowHow Know-How เนี่ย ผมจะพูดถึงประสบการณ์ในอดีตที่ทำมากับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะใช้สูตรเดิมมาแก้ปัญหาโลกที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ต้องปรับสูตรหรือใช้บางส่วน ซึ่งอาจจะใช้ได้ไม่มากนัก เพราะของใหม่มันเปลี่ยนไปเร็วมาก เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เลยอยากจะเน้นพูดเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนเป็นหลัก แต่มันทำไม่สำเร็จหรอกครับ ถ้าหากว่าไม่มีการสนับสนุนทางการเมืองอย่างจริงจัง ไม่มีตัวนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำลงมาปฏิบัติเองเล่นเอง ต้องถามว่าเอจริงหรือเปล่า ถ้าเอาจริงไม่มีอะไรยากที่ทำไม่ได้ ผมเชื่อว่าท่านนายกเองกับผมก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วยกัน เราเคยปฏิญาณตนตลอดว่า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตั้งใจและมุ่งมั่นจะทำ มันทำได้ครับ

ทักษิณยังได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของตัวเองด้วยว่า วันนี้ขอให้ KnowHow บางอย่างเท่าที่ประสบการณ์ที่มีอยู่ที่ทำมา ผมเชื่อว่าผมมีประสบการณ์ตรงนี้เยอะพอสมควร ที่ได้ทำมากับตัวเอง และก็เดินทางไปรอบโลก อ่านข่าวโน้นข่าวนี้ อ่านเทคโนโลยีนู่นนี้ ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าเราเอาจริงจัง ถ้าเราจริงจังเราแก้ได้ครับ

ผมขอเริ่มต้นจากอดีตที่ผมทำมา อดีตที่ทำก็คือ ผมคิดง่าย ๆ ครับว่า เขาจนเพราะอะไร อจนเพราะรายได้มันน้อยกว่ารายจ่ายไง น้อยกว่ารายจ่ายจะอยู่ได้อย่างไร ไปกู้หนี้ยืมสิน โดนดอกเบี้ยโดนทวงหนี้ มันเกิดมาก็คือรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แล้วมีลูกมีเต้าก็เพิ่มรายจ่าย แต่รายได้ไม่เพิ่ม แล้วจะทำอย่างไร เราจะต้องแก้ปัญหาว่า อ แน่นอนครับ ต้องทำให้รายได้เขามาก อันนี้มันเป็นหลักกำปั้นทุบดินเลย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ถ้าเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายแล้วยังไม่พอ ก็ต้องขยายโอกาสให้สร้างรายได้มากขึ้นอีก นัคือสิ่งที่เป็นสูตรสำเร็จในอดีต เป็นสูตรง่าย

แล้วที่สำคัญก็คือว่า ท่านต้องรู้เท่าทัน เศรษฐกิจทุนนิยม ชอบหรือไม่ชอบ เราอยู่ในเศรษฐกิจทุนนิยม เราจะต้องหาทางเข้าใจแล้วสู้กับมันให้ได้ อยู่กับมันให้ได้ แล้ววันนี้ที่ผมในอดีตหรือปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม หลังจากที่ผมพยายามแก้ แต่วันนี้ก็กลับไปที่เดิมก็คือว่า ชาวบ้านไม่มีเงินในการจะมาทำทุน ถ้าไม่มีเงินจะทำทุน มันก็ลำบากที่จะไปทำอะไร ไม่ว่าจะทำทุกอย่างมันต้องใช้ทุนหมด จะเลี้ยงไก่ก็ใช้ทุน จะไปขายข้าวโพดในตลาดก็ต้องใช้ทุน การเข้าหาแหล่งทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง ก่อนที่จะคิดว่าจะเพิ่มรายได้อย่างไร

เอาละ ตอนนั้นเราได้มีการให้ ธกส. ลงไปทำงานกับประชาชน คือทำบัญชีอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เขาลงบัญชีไปเลยว่าคุณมีรายได้อะไรบ้าง ครอบครัวนี้ มีรายจ่ายอะไรบ้าง แล้วเขาไปนั่งดูกันว่า โอ้…รายจ่ายมันมากกว่ารายได้ มีอะไรที่ตัดได้ไหม เช่น เมียเข้าร้านทำผม สามีซื้อเหล้ากิน พวกนี้ตัดออก ๆ ตัดแล้วเป็นไง โอ รายได้กับรายจ่าย รายได้ยังน้อยกว่ารายจ่ายอยู่ ก็ต้องคิดว่าจะสร้างโอกาสใหม่ ให้เขาได้ยังไง เช่น เขาทำนา ช่วงระหว่างนา ปลูกผักขายไหม วันนั้นเนี่ย ผมได้เริ่มทำเรื่องของ OTOP เพราะว่าคนไทยมีทักษะ แล้วก็ก็ทุกตำบลเนี่ย จะมีของดีของเขาอยู่ เขาก็เริ่มเอามา เราก็เริ่มช่วยเขาออกแบบผลิตภัณฑ์ หาตลาดให้ ในที่สุดเนี่ย OTOP ก็ดังระเบิดขึ้นมา ก็เป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัว เอาจนเขารายได้มากกว่ารายจ่าย แล้วเขาอยู่ได้

และนอกจากนั้นเนี่ย ผมต้องขอกลับไปที่ ปัจจัย 4 ปัจจัย 4 เนี่ย คือ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อาหาร อาหารกับเครื่องนุ่งห่มเนี่ย ถ้ามีรายได้เขาจัดการกันเองได้ ส่วนยารักษาโรคก็คือ ดูแลร่างกาย ผมก็เลย เราก็เลยสร้างโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคขึ้นมา ทำให้เขาลดรายจ่ายในการดูแลตัวเอง และทำเรื่องของบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคง เพื่อจะให้เขามีที่อยู่อาศัย ถ้ามีที่อยู่อาศัยเนี่ย มันเหมือน นกกระจอกมันยังต้องทำรังเอง เพราะไม่งั้นจะเร่ร่อนไปไหนหล่ะ ก็ต้องทำรังเพื่อให้มีที่พัก เพราะฉะนั้นเนี่ย คนจนก็ต้องมีที่นอน มีที่ซุกหัวนอน ถ้าเราไปดูตามสลัมนะครับ เราจะเห็นเลยครับว่า บ้านห้องเดียวเนี่ย พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน แน่นอนธรรมชาติครับ พ่อแม่นอนกันลูกก็เห็น นี่คือสิ่งที่มัน

เราต้องคิดว่า รัฐธรรมนูญในปี 40 ตอนนั้นเนี่ย โชคดีตรงรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญบอกว่า ให้คำนึงถึงศักดิศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย อันนี้แหล่ะครับที่เป็นตัวกระตุ้น ทำให้ผมต้องดูเรื่องของความยากจนเป็นพิเศษ คนจน คนรวย คนไทยด้วยกันครับ เราเห็นคนรวย เรารวยแล้วเราหันกลับไปดูคนจน สภาพความเป็นอยู่ของเขาเนี่ย มันต่ำกว่ามาตรฐานความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาความยากจนจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องไปดูเรื่องของปัจจัย 4 ผมจึงได้ทุ่มทุกอย่างลงไปที่ปัจจัย 4 ของคนส่วนใหญ่” อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว

แต่วันนี้ ความคิดใหม่ เกิดขึ้นอีก ว่าเอ้ย แค่นี้ไม่พอ บางประเทศก็มี ที่เขาเรียกว่า UBI – Universal basic income ก็ดูว่า เออ รายได้เขาควรจะมีเท่าไหร่ ทีนี้ อีกอันหนึ่งก็พูดถึงเรื่อง Negative Income Tax ผมก็นั่งคิด เออ วันนี้ต้องเสริมให้เขาอยู่ได้ มีศักดิศรีความเป็นมนุษย์ อยู่ได้ เพราะฉะนั้น จึงนั่งคิดว่า แล้วจะเอาตังค์ที่ไหน โอ้ว เราให้ทุกคนรายงานรายได้ ทำบัญชี ทำแบบฟอร์มสรรพากร ถึงแม้ว่าคุณจะมีรายได้ต่ำยังไงก็ทำแบบฟอร์มมา เราจะเห็นเลยว่า ใครมีรายได้เท่าไหร่ คนมีรายได้สูงก็โดนภาษี โดนภาษี เราก็ Tax ก็เลยเป็น Positive Income Tax  แต่คนมีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ที่จะไม่สามารถอยู่อย่างมนุษย์ได้เนี่ย เราก็เติมให้เขาไป เขาเรียกว่าเป็น Negative Income Tax

ทักษิณยังย้ำต่อข้อถกเถียงว่าด้วย “คนจนไม่เคยเสียภาษี” ว่า บางคนบอก เอ้ย คนจนไม่เคยเสีย Tax แล้วเราจะไปให้เขาได้ยังไง ฟังให้ดีนะครับ คนจนเขาบริโภค การบริโภค การซื้อของ ซื้อแปรงสีฟัน ยาสีฟัน โดน Vat 7% หมดนะครับ แล้วบางอย่างของ เป็นของที่เอาเข้ามาจากจีน เขาก็เสียภาษีศุลกากรทางอ้อมไปนะครับ เพราะบริษัทต้องเสีย แล้ว เติมน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์เขา ก็มีภาษีสรรพสามิตอยู่ในนั้นนะเพราะฉะนั้นเนี่ย ไม่มีคนไทยคนไหนไม่เสียภาษี แต่เสียรูปแบบไหน เขาไม่ได้เสียภาษีเงินได้ เพราะเงินได้เขาไม่ถึงขีด เพราะฉะนั้นทุกคนเสียภาษีหมด แต่การทำ Negative Income Tax เนี่ย ก็คือ การคืนภาษีบางส่วน ซึ่งมันอาจจะมากกว่าที่เขาเสียก็ได้ แต่มันเป็นการทำให้มนุษย์มีความเท่าเทียมกัน มนุษย์มีศักดิศรี

แล้วการทำอย่างนั้นเนี่ย มันจะตัดวงจรอุบาทว์ ที่บอกว่าคุณเกิดมาจน ลูกคุณก็คือลูกคนจนแล้วก็ต้องจนต่อไป ถ้าเรามีระบบอย่างนี้ ทำให้การศึกษาเขาดีขึ้น ให้เด็กรุ่นใหม่ได้มีการศึกษา โดยที่ แน่นอนครับ เราจะทำเหมือนเก่าไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้เนี่ย เรามี Pandemic หรือมีโรคระบาด เรามีการ Lockdown พฤติกรรมของมนุษย์ ของการบริโภคมันเปลี่ยนไปหมด ทั้งโลกนะครับ ไม่ใช่เฉพาะไทยอย่างเดียว เราบอกว่า Work from home คือ ทำงานจากบ้าน Learn from home เรียนหนังสือจากบ้าน ออนไลน์ไป แล้วก็ Buy from home ซื้อออนไลน์ Shopping มันเริ่มสร้างนิสัยตรงนี้แล้ว เพราะฉะนั้นคนเริ่มถนัดในการทำทุกอย่างออนไลน์หมดแล้ว แล้วชาวบ้านหล่ะ คนจน ตอนนั้น ตอนสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราเคยมีการแจก Tablet PC เพราะเรารู้ว่า ข้อมูลของโลกเนี่ย มันสามารถเรียกหาได้ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้คนที่อยู่ในมุมไหนของประเทศไทยก็แล้วแต่ ได้มีโอกาส ได้รู้เท่าเทียมกัน

เราจึงได้มีการแจก Tablet PC ทำไมแจก ป.1 ป.1เนี่ย พ่อแม่ยังวัยเด็กอยู่ พ่อแม่ยังสอนลูกได้ พ่อแม่สมัยใหม่ แต่กับป.6 ป.6 เนี่ย พ่อแม่เริ่มเป็นคนแก่ อาจจะไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่รู้เรื่องอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ลูกอายุขนาดนั้น เรียนได้เร็วกว่า ก็อาจจะมาสอนพ่อแม่ เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่า ทั้ง Family ทั้งครอบครัวเนี่ย สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เข้าถึงแหล่งข้อมูล ซึ่งเป็นการค้า เป็นการเงิน เป็นโอกาสทางการเงิน เป็นข้อมูล เป็นความรู้ ทุกคนจะได้ฉลาดเท่าเทียมกัน อันนี้แหละครับ คือการที่จะออกจากวงจรความยากจน คือ การศึกษา การเข้าถึงโอกาส การเข้าหาแหล่งทุนแหล่งความรู้ แหล่งปัญญาทั้งหลาย ฉะนั้นวันนี้ก็ ผมคิดว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องคำนึงว่า โลกยุคใหม่ ที่กำลังมีการ Interrupted (ที่หมอบอกให้ตัดเสียงเป็น Disrupt) ด้วยเทคโนโลยีทั้งหลาย เราจะเอาสิ่งเหล่านี้เนี่ย มาอุ้มชูคนจนอย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาซ้ำเติม เพราะเราตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของบริษัท Platform ระดับโลกทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้เอาเปรียบคนไทย คนไทยเสียเปรียบ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้อง เสพติดไปแล้ว เสพติดไปแล้ว เราจะทำยังไงต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นต้องดึงคนจนขึ้นมา ให้พ้นจากขีดเหล่านี้ นั่นก็คือ ให้โอกาสเขาทางด้านการศึกษา ทางด้านเทคโนโลยี

ระบบการศึกษาไทยต้องเปลี่ยนนะครับ กฎหมายนำเนี่ย มันเจ๊งหมดแล้ว เพราะว่ารูปแบบเดิมมันทำไม่ได้ มันต้องกลายเป็นการศึกษารูปแบบใหม่ จนเมืองนอกเดี๋ยวนี้นะครับ เขาไม่สนใจปริญญานะ เขาสนใจว่าคุณรู้เรื่องอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเด็กที่ไม่จบปริญญาแล้วรวยกันเยอะแยะไปหมด ก็เพราะว่า เขามีความสามารถที่จะค้นคว้าหาความรู้ และรู้มากกว่าการสอนในห้องเรียน ก็เลยทำให้เขาสามารถมีอาชีพประกอบ หลาย อย่าง มีเด็กเล่นเกมคนหนึ่งที่แอฟริกา ไปเล่นเกม เล่นแล้วไปแข่ง E-Sports ได้รางวัลมา 1 ล้านเหรียญนะ เด็กแอฟริกา เพราะฉะนั้น คือ ใครจะทำที่เขาเก่งเนี่ย เขาเสาะแสวงหาเอาตัวรอดหมด ฉะนั้นวันนี้จึงต้อง Freedom รือ เสรีภาพในการศึกษาต้องชัดเจนครับ ต้องให้มีนะครับ

และก็ที่สำคัญ คือ เอาเทคโนโลยีกลับไปสู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI)หรือพวกหุ่นยนต์ (Robotic) ทั้งหลาย หรือ โดรนทั้งหลาย หรือ Cloud ที่จะเป็นความรู้ที่ให้เขาหา อันนี้จะต้องเอาไปให้เขาถึงที่เลย ซึ่งไม่อยากนะครับ อันนี้เวลาพูดมีน้อย ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ไม่ทันโลก ไม่ทันโลก ก็คือชาวบ้านไม่ทันโลก แล้วจะใช้ระบบมาฝึกแรงงานสมัยโบราณ ไม่มีแล้ว ตอนนี้โรงงานทั้งหลายเนี่ย เขาใช้หุ่นยนต์หมดแล้ว แล้วใช้หุ่นยนต์รอบแรก บอกว่า โอ้ ความเร็วมีเท่านี้ ไปซื้อหุ่นยนต์เพิ่มความเร็วอีก เพื่อเพิ่มผลผลิต เพราะฉะนั้นชาวบ้านจะกลับไปเป็นแรงงานไม่ไหวแล้ว เขาจะต้องถูกฝึกใหม่ ให้อยู่กับโลกใหม่ได้ อย่าไปคิดมิติเดิม ๆ จะเห็นชาวบ้านเป็นกรรมกรอย่างเดิม มันไปไม่รอดแล้ว อีกหน่อยรถแท็กซี่ก็ไม่มีคนขับ แล้วคนพวกนี้จะทำยังไง คนขับรถก็ไม่ต้องใช้แล้ว แล้วคนไปอยู่ไหนหมด

คิดตั้งแต่วันนี้ครับ ถ้าคิดช้ากว่านี้ คนชั้นกลางก็จะเป็นคนจนต่อไป ไม่ใช่ว่าเอาคนจนขึ้นมาพ้นจากความยากจนนะ คนชั้นกลางเราจะตกชั้นด้วย ถ้าหากว่าเราไม่คิดล่วงหน้า ถึงเวลาแล้วครับ คิดล่วงหน้า ตามให้ทันโลก นะครับทักษิณ กล่าวทิ้งท้าย