วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พญ.ชัญวลี ศรีสุโข กรรมการแพทยสภา และสูตินรีแพทย์โรงพยาบาลพิจิตร กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 หญิงอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีความผิด

โดยระบุว่า เห็นด้วยในกรณีการทำแท้งหญิงจะไม่มีความผิด แต่ทั้งนี้อยากให้ทบทวน แก้ไขมาตรา 301 เพิ่มความชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์

เนื่องจาก การทำแท้ง อาจมีอาการตกเลือดปวดท้องตามมา ซึ่งในกลุ่มหญิงทำแท้งอาจมีจำนวนหนึ่งที่ต้องขูดมดลูก และอาจตามมาด้วยอาการมดลูกอักเสบ ร้ายแรงสุดอาจต้องตัดมดลูกทิ้ง ไม่สามารถมีลูกได้อีก และในบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต

“แม้มีโอกาสพบอาการเหล่านี้ได้น้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่เจอเลย ซึ่งหากเกิดภาวะเช่นนี้จะกระทบจิตใจผู้หญิง ทำให้ต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อนจากเรื่องนี้ โดยที่กฎหมายเองก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบของฝ่ายชายแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว แต่ไม่มีรายละเอียด ไม่มีการป้องกัน และแก้ไขเป็นระบบ อาจส่งผลกระทบตามมา ทั้งเป็นการเปิดช่องเอื้อธุรกิจการทำแท้ง โฆษณาขายยา และสถานที่ทำแท้ง เพื่อให้ผู้หญิงทำแท้งตนเอง หรือไปทำแท้งตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะไม่ต้องมีขั้นตอน ยืนยันทำแท้งได้เลย

“หากปล่อยเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์ทำแท้ง ต่อจากเรื่องอุ้มบุญ เพราะแม้มีการทำแท้งอย่างเสรีในหลายประเทศ แต่เขามีกฎหมายป้องกัน”

พญ.ชัญวลี กล่าวต่อไปว่า การทำแท้งตนเอง หรือยอมให้ผู้อื่นทำแท้ง ไม่ต่างจากการทำแท้งเถื่อน กฎหมายไม่ควรเปิดช่องให้เป็นการกระทำที่ถูกกฎหมาย แต่ให้การยืนยันทำแท้งต้องมีข้อบ่งชี้ ทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและทำในสถานพยาบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่บังคับแพทย์ที่ไม่สมัครใจ ให้มาทำเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี ก่อนทำต้องผ่านการให้คำปรึกษา ทางเลือกการช่วยเหลือ หากเปลี่ยนใจไม่ทำแท้งต้องมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือจนกว่าจะดูแลตนเองและบุตรได้

ส่วนกรณีเลือกยุติการตั้งครรภ์ หลังทำก็ต้องมีหน่วยงานให้ความช่วยเหลือ แนะนำเรื่องคุมกำเนิด เช่น ทำ 1 ตำบล 1 ศูนย์คุมกำเนิด

นอกจากนี้ กฎหมายควรกำหนดห้ามคนต่างชาติเข้ามาทำแท้งในประเทศไทย เพื่อป้องกันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติเรื่องทำแท้ง (Medical Hub of Abortion)