“พิธา” นำทัพ “ก้าวไกล” ยื่นแพ็กเกจแก้กม. 5 ฉบับ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชน

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่อาคารรัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ยกทีมส.ส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีพรรคก้าวไกลยื่นร่างแก้ไขพระราชบัญญัติเกี่ยวกับกรณีคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ

พิธา กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตนขอแถลงข่าวเรื่องการเสนอชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ ของพรรคก้าวไกล ซึ่งพวกเราได้อภิปรายถกเถียงกันภายในพรรค มีการหารือ และมีทีมงานร่วมจัดทำร่างกฎหมายชุดนี้ในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา โดยพรรคก้าวไกล มีจุดยืนและอุดมการณ์ที่ชัดเจนในการสนับสนุนยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งหลักการที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น ก็คือการทำให้สถาบันเป็นที่เคารพสักการะ ปลอดจากคำติฉินนินทาและคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของสาธารณชน ซึ่งหนทางเดียวที่พวกเราจะทำเช่นนั้นได้ ก็คือการดึงสถาบันให้พ้นออกจากการเมือง

“พวกเราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันป้องกันมิให้มีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่ง เข้ามาฉกฉวยโอกาสหยิบยก แอบอิง หรือแอบอ้าง ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์เพื่อนำมาใช้โจมตีอีกฝ่าย โดยเฉพาะกับการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในฟ้องร้องกลั่นแกล้งเพื่อปิดปาก และเพื่อการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม อันเป็นค่านิยมที่สกปรกและล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับค่านิยมสากลในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดความเห็น เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลเป็นเพียงผู้แทนของประชาชน ที่ทรงอำนาจสูงสุดเท่านั้น” หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าว

Lavc58.115.101

พิธา ยังกล่าวด้วยว่า จากเมื่อวานนี้ (9 ก.พ. 64) อัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดี 2 คดีจากการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาเมื่อวันที่ 19 กันยายน และ14 พฤศจิกายน 2563 ด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 จากนั้นศาลอาญาก็มีคำสั่งไม่อนุญาติให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 4 คน ได้แก่ นายอานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, และปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม โดยศาลเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง และหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก หมายความว่า จำเลยทั้ง 4 คน อาจถูกจองจำอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้งที่ความผิดที่ถูกกล่าวหานั้น เป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองโดยสันติ ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมร้ายแรงอันจำเป็นต้องควบคุมตัวไว้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับการชุมนุมหรือการแสดงออกของพวกเขา รวมทั้งข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่จำเลยคดี 112 ก็ควรมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ภายใต้หลักที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด กรณีนี้จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นปัญหาของมาตรา 112 ทั้งในแง่ตัวบทและการบังคับใช้ ซึ่งกระทบต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่

พิธา กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติเพิ่งแสดงความกังวลต่อการใช้ ม.112 ในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและมีการลงโทษจำคุกอย่างรุนแรง โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ศาลได้ตัดสินจำคุกอดีตข้าราชการสตรีวัย 60 ปี สูงถึง 87 ปี แม้จะลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าเป็นการลงโทษรุนแรง ไม่ได้สัดส่วนต่อความผิดจากการโพสต์คลิปที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ในเฟสบุ๊ก ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติได้ย้ำว่า ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ บุคคลสาธารณะย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้การแสดงออกบางรูปแบบอาจถือเป็นการดูหมิ่น แต่ก็ไม่ถือเป็นเหตุผลที่จะลงโทษอย่างรุนแรง เขายังเรียกร้องต่อทางการไทยให้ทบทวนกฎหมายอาญามาตรา 112, ให้ยกเลิกการดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกแจ้งข้อหานี้, และให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังเนื่องจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกอย่างสงบ

“พรรคก้าวไกลขอย้ำว่า การจะธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ให้คงอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย ไม่สามารถจะบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับ หรือใช้กฎหมายปราบปราม สถาบันการเมืองใดๆ ในสังคมสมัยใหม่ย่อมดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความชอบธรรมและความยินยอมพร้อมใจจากประชาชน ดังนั้น หนทางที่พวกเราควรทำก่อนจะสายเกินการณ์ ก็คือ การแสวงหากุศโลบายที่สอดคล้องกับยุคสมัยเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนภายใต้ระบบนิติรัฐ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ปลอดพ้นจากการเมือง ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง”

พิธา ยังได้ย้ำว่า นอกจากปัญหาเกี่ยวกับมาตรา 112 แล้ว ในหลายปีที่ผ่านมา เรายังมีปัญหาการใช้กฎหมายอื่นๆ เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก การมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือการตรวจสอบอำนาจรัฐอีก ในโอกาสนี้ พรรคก้าวไกลจึงได้เสนอชุดร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อแก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาททั้งหมด ทั้งหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูหมิ่นศาลครับ รวมทั้งความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ (2) ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อแก้ไขให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการเอาผิดต่ออาชญากรรมบนระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่นำไปใช้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์. (3) ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และ (4) ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยทั้งสองฉบับนี้เป็นการสร้างกลไกเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการถูกฟ้อง “คดีปิดปาก” โดยหน่วยงานรัฐหรือเอกชน ในกรณีที่ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับประเด็นสาธารณะต่างๆ หรือตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐและเอกชน ซึ่งในต่างประเทศเรียกกันว่า anti-SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) laws. (5) ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลอาญาอีกหนึ่งฉบับ เพื่อให้ประชาชนสามารถเอาผิดเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมที่กระทำการบิดเบือนกฎหมายต่อประชาชนได้