ญัตติไพบูลย์-สมชาย : ฝ่ายค้านชี้ทำหน้าที่เต็มที่ “พิธา” ซัดรัฐ รธน.ไทยฉีกง่ายกว่าแก้ พท.ลั่นสู้ต่อไม่ขอยอมแพ้

ผู้นำฝ่ายค้านชี้ทำหน้าที่เต็มที่ลงมติส่งญัตติ “ไพบูลย์-สมชาย” ส่งศาลรธน. “พิธา” ซัดรัฐธรรมนูญไทยฉีกง่ายกว่าแก้ เปรียบการแก้รธน. เหมือนดึงเบรคมือรถยนต์ นำประเทศสู่ทางตัน “ประเสริฐ” ลั่นจะสู้ต่อไปและไม่ยอมแพ้ และจะรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ต่อไป

เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ภายหลังจากที่มีการลงมติส่งญัตติของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคพท. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ร่วมกันแถลงข่าวต่อกรณีดังกล่าว

นายสมพงษ์​ กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโหวตนี้ เราได้พยายามทำเต็มที่ในเรื่องที่เราเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีความจำเป็นว่าควรมีการแก้ไข แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นแนวทางที่จะยื้อให้รัฐธรรมนูญนี้ยืดยาวออกไปหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่สิ่งที่กระทำบ่งให้เห็นชัดว่ามีการที่จะยื้อให้ยาวออกไปหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคที่เห็นด้วยกับการแก้ไขคงจะมีส.ว.กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในส่วนนี้ต้องตรวจสอบดู โดยเฉพาะพรรคที่เคยรับปากกับประชาชนไว้ในเรื่องนี้ ซึ่งก็จะพิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าใครบ้างที่มีความจริงใจในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ด้านนายพิธา กล่าวว่า การลงมติเมื่อสักครู่เป็นการยืนยันว่ารัฐธรรมนูญไทยฉีกง่ายกว่าแก้ รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 20 ฉบับ กว่า 17 ฉบับมาจากการทำรัฐประหาร มาจากการปฏิวัติที่มาจากสภาและประชาชนจริงๆ มีแค่ 3 ฉบับ ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่จะได้พิสูจน์ว่าประเทศไทยมีดุลอำนาจทั้ง 3 อยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญ และตุลาการ ผลของการโหวตวันนี้ชัดเจนแล้วว่ามาจากผลพวงรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 2550 ที่เมื่อมีความขัดแย้งทั้งสององค์กรเช่นรัฐสภากับคณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเมื่อมีความขัดแย้งขึ้นจึงสามารถที่จะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีอำนาจของหน่วยงานนั้นๆ ได้ แต่รัฐธรรมนูญปี2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ถึงแม้จะไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ก็ตามระหว่างคณะรัฐมนตรีกับสภา คณะรัฐมนตรีกับองค์กรอิสระสามารถที่จะยื่นให้ฝ่ายตุลาการวินิจฉัยอำนาจของนิติบัญญัติ ซึ่งนิติบัญญัติควรจะมีอยู่แล้ว

“เปรียบเสมือนการดึงเบรคมือรถยนต์ โดยเปรียบประเทศเสมือนรถยนต์ที่กำลังแล่น แต่รัฐบาลดึงเบรคมือด้วยการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญจนอาจนำประเทศเข้าสู่ทางตันได้และเป็นการบอกกับประชาชนว่าประชาชนในประเทศนี้ไม่มีอำนาจที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญของตัวเอง การจะมีรัฐธรรมนูญได้ต้องมาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว จะมีรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ จะฉีกรัฐธรรมนูญได้ต้องรัฐประหารเท่านั้น นี่คือการส่งสัญญาณให้ประเทศของเราไปประชาคมทั่วโลกว่าการจะมีรัฐธรรมนูญในประเทศไทยได้นั้นต้องมาจากวงจรรัฐประหารเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พรรคก.ก.และพรรคฝ่ายค้านจะต้องมายืนยันว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น อำนาจของรัฐสภาที่ได้รับมอบหมายมาจากประชาชน มีอำนาจชอบธรรมที่จะสามารถดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนโดยประชาชนเพื่อประชาชนจริงๆ และเป็นสิ่งที่เราต้องการเสนอให้พี่น้องประชาชนคนไทยและประชาคมทั่วโลกได้ทราบว่านี่คือเจตจำนงของพวกเรา” นายพิธากล่าว

ด้านนายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลขาดความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำสัญญาที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 หรือไม่เกินเดือน ม.ค. 64 เป็นเพียงลมปาก เป็นเพียงสัญญาประชาคม และนายกรัฐมนตรีไม่ทำในสิ่งที่สัญญาไว้กับประชาชน โดยพรรคฝ่ายค้านและประชาชนผิดหวังเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์นี้ แต่จะสู้ต่อไปและไม่ยอมแพ้ และจะรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ต่อไป

ที่มา มติชนออนไลน์