‘ศรีสุวรรณ’ อ้าง ส.ส.ที่เสนอแก้ไข 112 อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองประเทศ

‘ศรีสุวรรณ’ ตอกกลับ ปิยบุตร ‘112 ไม่เป็นปัญหา’ ลั่น ไทย ไม่ใช่ทาสตะวันตก ชี้ “อนาคตของชาติ” ถูกล้างสมอง คือ เครื่องมือ ‘ทดลองอุดมการณ์’

เมื่อวันที่ 14 มกราคม นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ยกเลิก 112” โดยระบุว่า ส.ส. ควรผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดเผยว่าอัดอันที่ตนเองยอมกลืนเลือดสมัยก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้มาตรา 112 เพื่อให้ทุกคนปรานีกับพรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง กลายเป็นตราบาปและแผลเป็นที่ฝังในจิตใจจนวันนี้นั้น

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะมองในด้านใดด้วยใจเป็นธรรม และด้วยใจที่เป็นปกติ ทั้งในแง่ของการนำมาใช้ และการตีความ รวมทั้งสัดส่วนของการกำหนดอัตราโทษ เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประเทศของเรามีสถาบันฯ อันเป็นที่เคารพสักการะที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน

หากแต่ในยุคปัจจุบัน กลับมีพวกนักเรียนนอก ร่วมมือกับนายทุนนอกคอก ที่มิได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติรากเหง้าของชาติของแผ่นดิน พยายามที่จะกระแดะลอกเลียนวัฒนธรรมตะวันตกบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เพื่อให้ประทศไทยเป็นดั่งสังคมแบบนั้น จึงพยายามใช้กลเล่ห์มาปลุกปั่นเด็กๆ และเยาวชน โดยมีคณาจารย์ในสถาบันการศึกษาบางคนเป็นหางแถวและเครื่องมือ ในปลุกเร้าและถ่ายทอดทรรศนะที่ผิดเพี้ยนให้มุ่งไปสู่แนวทางที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าบริบททางกฎหมายจะเป็นเช่นใด เราจึงเห็นพฤติกรรมและการกระทำของเด็กเยาวชนจำนวนมากที่ท้าทาย มาตรา 112 ซึ่งก็จำเป็นอยู่เองที่ประชาชนจำนวนมาก เรียกร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องบังคับใช้มาตราดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ถึงแม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” บางคนอยากผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 ให้จงได้ แต่ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ส.ส.เหล่านั้นมีผู้ใดบ้าง ที่กล้าท้าทายแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยคือประเทศไทย ไม่ใช่ทาสรับใช้พวกตะวันตก การบัญญัติและการคงอยู่ของกฎหมายดังกล่าว ย่อมสอดรับกับค่านิยมวัฒนธรรม ประเพณีทางกฎหมายของไทย ซึ่งไม่ขัดหรือแย้งต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแต่อย่างใด หากการใช้สิทธินั้นไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น

เราไม่อาจปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” ถูกล้างสมอง จนต้องโดนข้อหาจนต้องเข้าคุก เข้าตะราง โดยที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังลอยนวลอยู่อีกต่อไปได้ สังคมไทยต้องช่วยกันลากไส้ เอาบุคคลเหล่านี้มาลงโทษตามครรลองของกฎหมายโดยเร็ว หากปล่อยให้ยืนผยองอยู่ในสังคม ก็รังแต่จะสร้างความแตกแยก สร้างปัญหาให้กับชาติ ให้กับแผ่นดินต่อไป โดยเอาเด็กและเยาวชนของชาติ มาเป็นเครื่องมือในการทดลองทางอุดมการณ์ของตน นั่นเอง