ตปท.รอบสัปดาห์ | โศกนาฏกรรมโบอิ้ง 737 , การเมืองอเมริกาตึงเครียดหนัก! , ญี่ปุ่นพบเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ใหม่

สรุปข่าวตปท

อินโดนีเซีย

จาการ์ตา – สำนักข่าวรอยเตอร์สและเอเอฟพีรายงานว่า เกิดโศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 737 ของสายการบินศรีวิจายาแอร์ สายการบินต้นทุนต่ำอินโดนีเซีย ที่มีผู้โดยสารและลูกเรืออยู่บนเครื่องบินรวมทั้งสิ้น 62 คน หายไปจากจอเรดาร์หลังทะยานออกจากสนามบินในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศ ไปได้เพียงราว 4 นาที ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 9 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนจะพบว่าเครื่องบินมรณะลำนี้ประสบเหตุตกลงในทะเลชวา หลังจากพบเศษซากเครื่องบินและชิ้นส่วนมนุษย์ในทะเล เป็นผลให้ผู้ที่อยู่บนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด

Photo by ADEK BERRY / AFP

เบื้องต้นชุดสอบสวนเชื่อว่าเครื่องบินได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะตกกระแทกพื้นผิวน้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บกู้ 1 ในกล่องดำซึ่งเป็นกล่องบันทึกการบินขึ้นมาจากทะเลได้แล้ว โดยยังเหลือกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบินที่ยังกู้ขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งกล่องดำทั้งสองจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ต่อไป ที่นับเป็นอุบัติเหตุเครื่องบินตกครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ในอินโดนีเซียนับจากเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 737 แมกซ์ของสายการบินไลออนแอร์ประสบเหตุตกในปี 2018 เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 189 ราย ทั้งนี้ เครื่องบินโบอิ้ง 737 ลำเกิดเหตุของศรีวิจายาแอร์ มีอายุใช้งานเกือบ 27 ปี ซึ่งเก่ากว่ารุ่นโบอิ้ง 737 แมกซ์ที่มีปัญหาเรื่องระบบความปลอดภัยของบริษัทโบอิ้งจนมีการระงับเครื่องบินรุ่นนี้ทั้งหมดไปก่อนหน้านี้

สหรัฐอเมริกา

วอชิงตัน – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานการณ์การเมืองในสหรัฐอเมริกาทวีความตึงเครียดหนักขึ้นนับจากเกิดเหตุการณ์กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พากันบุกเข้าไปก่อการจลาจลวุ่นวายในอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขัดขวางสมาชิกสภาคองเกรสลงมติรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งมีขึ้นหลังนายทรัมป์ออกมากล่าวปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนตนเองคัดค้านผลการเลือกตั้งดังกล่าวที่ทรัมป์อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง แต่ไม่เคยมีหลักฐานมาพิสูจน์การกล่าวหาของตนเองได้ โดยเหตุม็อบบุกสภาดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้พรรคเดโมแครตออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้ทรัมป์ลงจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบต่อเหตุความรุนแรงที่ขึ้น โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่ จะยื่นญัตติให้เปิดกระบวนการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งหรืออิมพีชเมนต์ในวันที่ 13 มกราคม หลังจากนายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ปฏิเสธที่จะใช้บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐที่ 25 ในการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 223 ต่อ 205 สนับสนุนข้อมติให้เพนซ์ใช้บทบัญญัติดังกล่าวไปในวันก่อนหน้า

ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้สั่งการให้กองกำลังรักษาดินแดนจำนวน 1.5 หมื่นนาย คอยรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงเวลาที่จะมีการจัดพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 มกราคมนี้ หลังจากสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ (เอฟบีไอ) ออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ว่ากลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์พร้อมอาวุธอาจออกมาก่อเหตุวุ่นวายอีก

ญี่ปุ่น

โตเกียว – หนังสือพิมพ์เจแปนไทม์สรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 มกราคม ว่า ทางการญี่ปุ่นตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เหมือนกับที่พบในอังกฤษและแอฟริกาใต้ โดยพบในนักเดินทางจากประเทศบราซิล 4 คนที่มาจากรัฐแอมะซอนาส ขณะเดินทางมาถึงสนามบินฮาเนะดะในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 2 มกราคม โดยทางการญี่ปุ่นกำลังศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดต่างๆ ที่มีกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ ซึ่งยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็ว ด้านกระทรวงสาธารณสุขบราซิลเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากทางการญี่ปุ่นว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีการกลายพันธุ์ 12 รูปแบบ และหนึ่งในนั้นพบในไวรัสสายพันธุ์ในอังกฤษและแอฟริกาใต้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นไวรัสที่แพร่ระบาดได้รวดเร็ว

 

ขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมในพื้นที่อีก 7 จังหวัด ซึ่งรวมถึงโอซาก้า เกียวโต และเฮียวโงะในวันที่ 13 มกราคม ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ 11 จังหวัดจากทั้งสิ้น 47 จังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่นจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จากที่เมื่อสัปดาห์ก่อนทางการญี่ปุ่นประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมเพียงกรุงโตเกียวและพื้นที่จังหวัดโดยรอบเท่านั้นเพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาด หลังจากญี่ปุ่นมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิดทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้น

โดยล่าสุดญี่ปุ่นมียอดผู้ติดเชื้อสะสมถึงช่วงเย็นวันที่ 13 มกราคม อยู่ที่ 292,212 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 4,000 ราย