พรรคร่วมฝ่ายค้านก้าวต่อไปอย่างไร ภายใต้การเมืองผันผวนทั้งใน-นอกสภา

การเมืองไทยในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เกิดปรากฎการณ์การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนเพื่อต่อต้านรัฐบาลชุดปัจจุบันที่กำลังบีบอนาคตให้หดแคบลง และข้อเรียกร้องที่สื่อสารสู่สาธารณชนยังสั่นสะเทือนไปถึงรัฐสภา โดยเฉพาะพรรคร่วมฝ่ายค้านซึ่งมีท่าทีเป็นบวกกับผู้ชุมนุม แต่นับตั้งแต่การเลือกตั้งจนมาถึงตอนนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านเผชิญทั้งที่นั่งในสภาที่ค่อยๆหดลงโดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบพรรค และสมาชิกสภาที่เหลือย้ายมายังพรรคก้าวไกล ส.ส.ที่ย้ายพรรค ทำให้เสียงปริ่มน้ำหายไปและหมายถึงพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลมีหลักประกันในจำนวนเสียงในสภา ไม่นับประเด็นอภิปรายที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติก็มักถูกสกัดทั้งส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและส.ว.แต่งตั้งจากคสช.หลายเรื่อง รวมถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม

ภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ พรรคฝ่ายค้านยังคงมีพลังที่จะค้ำจุนการเมืองในระบบรัฐสภาแบบที่เป็นอยู่นี้ได้มากแค่ไหน?

“พิชัย” ชี้ไทยต้องผ่านยุดมืดไปให้ได้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา “What next for Thailand’s parliamentary opposition?” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ที่ตึกมณียาว่า ประเทศไทยอยู่ในยุคมืดมาตั้งแต่เกิดการปฏิวัติในปี 2557 โดยเศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวต่ำสุดมาตลอด นักลงทุนต่างประเทศขาดความมั่นใจ พอตนออกมาเตือนและวิจารณ์ปัญหาเศรษฐกิจก็ถูกเรียกปรับทัศนคติถึง 8 หน แต่ต่อมา กลับชวนให้ตนไปร่วมตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ พอตนปฏิเสธก็ถูกดำเนินคดีในคดีทฤษฎีกบต้ม ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมที่ออกมาคือพวกที่จะพยายามจะโดดออกจากสภาวะกบต้ม และ ขอชื่นชมนักศึกษาและนักเรียนที่ออกมาชุมนุม ซึ่งจะไม่ทำให้ไทยถอยหลังเหมือนประเทศพม่าในอดีต และเชื่อว่าประเทศจะต้องก้าวพ้นยุคมืดนี้ และก้าวหน้าต่อไปได้ และนักศึกษาได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ในการชุมนุม ซึ่งจะพัฒนาต่อไปในความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศต่อไป

ต่อมาได้เปิดให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้สอบถาม โดยได้มีสื่อต่างประเทศให้ความสนใจสอบถามหลายเรื่อง เช่นเรื่องคดีบ้านพักนายกที่จะตัดสินวันนี้ โดยนายพิชัยได้ตอบว่าคดีนี้ถ้าพลเอกประยุทธ์ถูกตัดสินผิดก็เป็นปัญหา อีกทั้งถ้ารอดไม่ถูกตัดสินว่าผิดก็จะยิ่งเป็นปัญหาเช่นกัน เพราะสังคมได้เห็นชัดแล้ว ตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้เปิดประเด็นเรื่องนี่ได้ชึ้ให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์เกษียณอายุราชการมานานแล้ว แต่ยังอยู่บ้านหลวง อีกทั้งบ้านพักดังกล่าวไม่ใช่บ้านพักชั่วคราวตามที่กล่าวอ้าง เพราะอยู่เป็นประจำ อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ยังเป็น รมว. กลาโหมด้วยยิ่งเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่รับผลประโยชน์เกินกว่า 3,000 บาท หนักกว่าคดีที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ โดนปลดมาแล้ว จากคดีทำอาหารออกทีวี ดังนั้นจึงต้องคอยดูว่าผลออกมาเป็นอย่างไร

เรื่องการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งนายพิชัยได้ตอบเหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลักต่างประเทศ The Straits Times ว่า สถาบันมีความสำคัญกับประเทศไทยมาก พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ พรรคต้องมั่นใจว่าทุกภาคส่วนของสังคมจะยอมรับเรื่องนี้ ก่อนที่พรรคจะพูดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร) ขึ้นมาอยู่แล้ว ซึ่งสมาชิก สสร. จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และจะเป็นหน้าที่ของ สสร. นี้ ที่จะต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณา

สำหรับคำถามเรื่องการลาออกของคุณหญิงสุดารัตน์ จากพรรคเพื่อไทย นายพิชัย กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจ แต่ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเคารพในสิทธิ ซึ่งพรรคการเมืองขนาดใหญ่มีคนเข้าและคนออกเป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งนี้ยังได้เปรียบเทียบ พรรคเพื่อไทยเหมือนต้นไม้ใหญ่ ตราบใดที่ต้นไม้ยังมีรากที่ดี การผลัดใบย่อมเป็นวัฎจักร​ของต้นไม้ และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะแข็งแกร่งและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า จะชิงคะแนนเสียงจากพรรค พปชร. มาได้มากอย่างแน่นอน ทั้งนี้ไม่ได้มีความขัดแย้งกับพรรคก้าวไกล แม้จะมีฐานเสียงเดียวกัน เพราะสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะทำให้มาตรฐานชีวิตของพวกเขาดีขึ้น

ในคำถามเรื่องการปฏิรูปการศึกษานั้น นายพิชัยตอบว่า หากจำกันได้พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายหนึ่งนักเรียนหนึ่งแทบเล็ต ที่คิดมากว่า 10 ปีที่แล้ว เพื่อต้องการปฏิรูปการศึกษา อีกทั้งเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิตอลที่ขยายตัวอย่างมากในปัจจุบันที่มหาเศรษฐีของโลกร่ำรวยมาจากธุรกิจดิจิตอลและเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยที่คิดล่วงหน้า แต่มาถูกปฏิวัติและถูกยกเลิกนโยบายนี้ไปเสียก่อน มิเช่นนั้นคงมีเด็กไทยที่จะได้ร่ำรวยจากธุรกิจนี้อีกมาก และ รมว. ศึกษาคนปัจจุบันยังอยากนำนโยบายการแจกแทบเล็ตนี้กลับมาทำใหม่ แต่ถูกต่อต้านจากพวกเดียวกันเพราะกลัวว่าจะเลียนแบบพรรคเพื่อไทยจึงต้องยกเลิกความคิดนี้ไป

พิชัย ยังกล่าวสรุปว่าประเทศไทยมีเวลา 1-2 ปีในการที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลับมาเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกโดยเร็ว เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ การระบาดของไวรัสโควิด กลับเป็นตัวช่วยให้ประเทศไทยเพราะทำให้โลกยังต้องรอประเทศไทย มิเช่นนั้นโลกคงพัฒนาทิ้งไทยไปไกลแล้วถ้าไม่มีไวรัสโควิด เพราะถึงมีหรือไม่มีวิกฤตไวรัสโควิดเศรษฐกิจไทยก็จะยังย่ำแย่จากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่แล้ว

โดยล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงานได้ออกมาโต้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เตือนว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายเริ่มแผ่ว โดย ธปท. ได้เสนอตัวเลขอ้างอิงชัดเจน โดยนายสุพัฒนพงษ์ กลับเถียงว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แผ่ว เพราะมี “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” มาช่วยหนุน ซึ่งเป็นการเถียงนี้เหมือนต้องการหลอกตัวเอง และ หลอกประชาชน ทั้งนี้เพราะหากนายสุพัฒนพงษ์จะไดัศึกษาและคำนวณจะพบว่า 2 นโยบายดังกล่าวมีผลต่อจีดีพีและเศรษฐกิจน้อยมาก หรืออาจจะแทบไม่มีผลเลย เป็นเพียงแค่นโยบายเด็กเล่นเพี่อชะลอความนิยมของรัฐบาลที่กำลังทรุดหนักเท่านั้น หากรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจยังไม่เข้าใจ หรือ พยายามจะหลอกตัวเอง โดยไม่ยอมรับความจริง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก เพราะจะแก้ปัญหาไม่ถูกทาง

‘ศิริกัญญา’ รับทำประชาชนผิดหวัง ย้ำเต็มที่เพื่อเกิดอภิปรายหลากหลายมากขึ้น

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) กล่าวยอมรับว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 จำนวนส.ส.ครั้งอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ได้มานั้น แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนที่ใช้สิทธิออกเสียงเลือกเข้ามาว่าพรรคจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูการเมืองระบบรัฐสภาหลังต้องสูญเสียไปนานหลายปี แต่เกือบ 2 ปีมานี้ เรารู้ว่าประชาชนค่อนข้างท้อใจหรือผิดหวังต่อรัฐสภาว่าทำอะไรได้บ้าง ทั้งการผ่านกฎหมายหรือการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลประยุทธ์ แน่นอนว่า คุณพูดถูก เราทำให้คุณผิดหวัง ผิดหวังจนเกิดความไม่พอใจ ต่อประสิทธิภาพของฝ่ายค้านในรัฐสภาอย่างที่ควรจะเป็น

แม้ว่าเราจะทั้งผลักดันและสนับสนุนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับทหารหรือพรบ.คุ้มครองแรงงานที่เสนอร่วมกับพรรคเพื่อไทยแต่ถูกตีตกโดยนายกรัฐมนตรี การอภิปรายเรื่องพรบ.งบประมาณ จนถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เราก็รู้ว่ามีความพยายามสกัดกั้นเรา จากจำนวนส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 245 ที่นั่ง 7 พรรคฝ่ายค้านในตอนแรก แต่ตอนนี้เหลือ 210 ที่นั่งและ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลและส.ส.ของเรา ก็ลดลงจาก 80 ที่นั่ง ตอนนี้เหลือ 53 ที่นั่ง

ทั้งการเผชิญกับศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่บั่นทอนพรรค หรือแม้กระทั่งในสภายังต้องเจอ 250 ส.ว.แต่งตั้งจากรัฐบาลทหาร อย่างที่เห็นในกรณีอภิปรายร่วมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายปฏิรูปต่างๆที่ต้องประชุมร่วม 2 สภา

นี่อาจดูน่าเศร้าแต่ก็ยังมีอะไรดีอยู่ ไม่ว่าการอภิปรายเรื่องต่างๆที่มากขึ้นในสภา เราทำหน้าที่อภิปรายโน้มน้าวส.ส.ฝ่ายรัฐบาล แม้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รวมถึงกลไกต่างๆเหล่านี้ เราพรรคฝ่ายค้าน เรายังคงยืนหยัดในสร้างพื้นที่แสดงออกและความคิดเห็น เพื่อยกระดับประเด็นออกสู่สาธารณชนโดยยึดข้อเท็จจริง แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาที่เกิดขึ้นขณะนี้ นี่แสดงให้ถึงความเห็นไปประชาธิปไตย แต่เรื่องต่างๆจะบรรลุผลได้ บทบาทของรัฐสภาต้องทำงานร่วมกันกับนอกสภา

นั่นทำให้เราได้ให้ความหวังอย่างหนึ่งไป เรารู้อยู่เต็มอกว่าเส้นทางที่ต้องเดินไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด และเมื่อส.ส.พรรคก้าวไกลรวมถึงฉันเอง ตัดสินใจลงการเมืองเมื่อ 2 ปีก่อน เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นยากมาก เราต้องเจอความล้มเหลวและนั่นเป็นเรื่องที่เราตัดสินใจแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น มีบางคนเคยบอกกับฉันเมื่อ 2 ปีก่อนว่า สังคมไทยที่เป็นอยู่วันนี้ มองว่ายังไงเป็นไปไม่ได้ แต่ความเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนและลึกซึ้ง ส่งผลต่อจุดยืนของเราและเราต้องเลือกด้านที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์เพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง และฉันไม่คิดว่าบนพื้นฐานประโยชน์ของฝั่งรัฐบาล ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลหรือส.ว.แต่งตั้งของรัฐบาลประยุทธ์ในการทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างสันตินั้นจะเป็นไปไม่ได้

‘หมอเรวัต’ ลั่นเราทำดีที่สุดแม้แพ้เสียงโหวต ย้ำใช้สภาแก้ไขการเมือง

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.จากพรรคเสรีรวมไทยกล่าวว่า หากมองบทบาทในสภาก็มี 2 เรื่องคือการอภิปรายร่างงบประมาณ กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ความสนใจ ร่างพรบ.งบประมาณเราเต็มที่แม้จะไม่ชนะในเสียงโหวตในสภาแต่ว่า สิ่งที่เรายังทำได้คือหยุดการจัดซื้อเรือดำน้ำไปได้ แม้เรามีกำลังน้อยกว่าแต่ก็สามารถส่งเสียงให้ประชาชนสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้นจึงอยากบอกว่าทุกคนในพรรคร่วมฝ่ายค้านสามารถรวมพลัง แม้ว่าเสียงโหวตน้อย แต่เสียงอภิปรายของเราดังไปไกล

ส่วนเรื่องแก้ไขรธน.ที่มี 7 ฉบับ และเราเน้นที่อยากให้ผ่านมากคือ ร่างแก้ไขรธน.ฉบับภาคประชาชนนำโดยไอลอว์ เพราะเป็นเหมือนร่มขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกฉบับ แต่ในที่สุดเราก็แพ้เสียงโหวต ร่างนั้นตีตกไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาที่เกี่ยวกับแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมและส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องที่เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาเลื่อนเวลาอีก 1 เดือนทั้งที่มีข้อสรุปแล้ว แต่ก็ต้องแพ้เสียงโหวตส.ส.ฝ่ายรัฐบาล

นั้นเป็นเหตุทำให้ประชาชนไม่พอใจและล้อมสภาวันนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาอย่่างปลอดภัย แต่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและส.ว.ถูกผู้ชุมนุมประณามจนต้องออกจากสภาอย่างทุลักทุเล

ผมประกาศในสภาวันนั้นว่า การยืดเวลาออกไปนั้นเป็นเกมส์ที่อันตรายมากเพราะจะเกิดขึ้นเหตุรุนแรงนอกสภา 1 เดือนที่ยืดไป ทำให้เกิดผู้ชุมนุมจำนวนมากขึ้นจนมีการพิจารณาร่างแก้ไขรธน.อีกครั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน วันนั้น ผู้ชุมนุมพยายามไปรัฐสภาเพราะกังวลว่าร่างแก้ไขฉบับประชาชนจะไม่ผ่าน ตำรวจได้ตั้งแนวกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าสภา แน่นอนว่าผู้ชุมนุมต้องไปให้ถึงหน้ารัฐสภาเพื่อแสดงจุดยืนไม่ได้รุกล้ำข้างใน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าขบขัน เราเห็นส.ว.และส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกำลังหนีตายลงเรือ สำหรับผม คุณไหม และส.ส.ฝ่ายค้านไม่กังวล เราอยู่จนปิดสภา เป็นเรื่องน่าตลกที่ทหารยศนายพลมากกว่าครึ่งสภา กลัวนิสิต นักศึกษา กำลังลนลานหนีตายลงเรืออย่างน่าอนาถ แปลว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และนิสิตนักศึกษาและประชาชนกำลังโกรธเคือง

วันนี้เราจะเห็นผู้ชุมนุมบนท้องถนนเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ส.ส.รัฐบาลและส.ว.ไม่ทำให้อะไรให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน หลายคนคงมีคำถามว่า ในฐานะส.ส.จะช่วยนักศึกษาได้อย่างไร แน่นอนเราช่วยได้ เราใช้เวทีสภาช่วยให้หยุดกฎหมายหลายข้อ เช่น ไม่เห็นด้วยกับ พรก.ฉุกเฉินและพรบ.การชุมนุมสาธารณะ

ผมค้านการใช้พรบ.ฉุกเฉินมาเรื่อยๆ และเป็นคนยืนยันว่า การใช้พรบ.ฉุกเฉินของรัฐบาลไม่ได้เพื่อสกัดการระบาดโควิดแต่เพื่อสกัดม็อบ แน่นอนว่าเราต้องติดตามการชุมนุมอย่างใกล้ชิดทุกวันเพื่อหาทางช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

สำหรับข้อคำถามของประชาชนที่สงสัยว่าบทบาทของเรายังช่วยได้หรือไม่ ยืนยันว่าเราช่วยได้และใช้สภาเพื่อพูดดังๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศและช่วยนักศึกษาได้อย่างไร