“บิ๊กตู่” ตีปี๊บเซ็นสัญญาจองซื้อวัคซีนจากอังกฤษวันนี้ คาดใช้ได้กลางปี 64

“บิ๊กตู่” ตีปี๊บเซ็นสัญญาจองซื้อวัคซีนจากอังกฤษวันนี้ คาดใช้ได้กลางปี 64

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดผู้ติดเชื้อเกือบทะลุ 61 ล้านคนแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตกว่า 1,428,178 ราย

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงเรื่องโควิดและความสำเร็จของประเทศไทย ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ว่า วันนี้ขออัพเดตให้ทราบถึงแนวทางที่ประเทศไทยของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในภาวการณ์ที่ยังจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำลายทั้งชีวิตและเศรษฐกิจของทั้งโลก ตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดมา ปัจจุบันนี้ แต่ละวัน หลายประเทศในยุโรปและที่อื่นๆ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และในสหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบพันคนต่อวัน นับว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้ประเทศต่างๆ ปั่นป่วน จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเคร่งครัด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ทุกภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคนทำงานต่างๆ ที่ได้เสียสละและยอมรับที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำมาหากิน เพื่อที่จะปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ความสำเร็จนี้ เป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับประเทศไทย ในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกตัวอย่างหนึ่งในการรับมือกับโควิด อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า ความสำเร็จของประเทศไทย ในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นความร่วมมือกันของประชาชนทุกระดับและทุกภาคส่วนในสังคม และด้วยการบริหารจัดการสรรพกำลังทุกอย่าง แบบบูรณาการของรัฐบาล อยากให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจ และร่วมกันรักษาความรู้รักสามัคคี และสิ่งดีๆ นี้ไว้ ขอบอกกับทุกคนว่า กำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไป ในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้

“วิธีจัดการกับวิกฤตโควิดในระยะยาวคือ การมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ 3-4 กลุ่มอยู่ในขั้นตอนก้าวหน้าไปมาก กำลังทำการทดสอบความปลอดภัยในการใช้ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้จริง อย่างไรก็ดีรู้ว่าประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างพยายามล็อกคิว เพื่อจะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ทันทีที่วัคซีนได้รับการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย แล้วผลิตเสร็จออกมา ประเทศไทยเราก็สมควรจะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้นั้น ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย นั่นคือเหตุผลที่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ผมได้ตัดสินใจว่า ประเทศไทยต้องเดินหน้าหาพันธมิตรเพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เราต้องเลือกจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ที่น่าจะมีโอกาสทำสำเร็จได้จริงอย่างรวดเร็ว” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ นอกจากได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย และในวันที่ 27 พฤศจิกายน จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลง เพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน ได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ดีมาก นอกจากนั้น วัคซีนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทแอสทราเซเนกาพัฒนาขึ้น จะสามารถผลิตออกมาได้ในราคาที่ถูกกว่า หากเทียบกับวัคซีนของที่อื่นๆ และสำคัญมากกว่านั้น คือวัคซีนนี้มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากกว่า เพราะขณะที่วัคซีนของที่อื่นๆ จำเป็นต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส ตลอดเวลา ต้องใช้ตู้แช่เย็นที่ออกแบบพิเศษโดยเฉพาะ ทำให้มีข้อจำกัดทางด้านการขนส่งทำได้อย่างยากลำยากมาก แต่วัคซีนนี้สามารถเก็บรักษาได้ไม่ยาก ในตู้เย็นธรรมดา ณ อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส สามารถขนส่งเพื่อกระจายวัคซีนไปสู่พื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกจังหวัดของไทยเราได้อย่างทั่วถึงและไม่ยุ่งยาก

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คาดว่าวัคซีนนี้น่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้าถ้าเร่งขั้นตอนต่างๆ ได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้สามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้กำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว ในการยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของ โควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ในหลายประเทศทั่วโลก ขอให้ ทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน