จับตา คลังทุ่ม 4 แสนล้านฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เน้นลงทุนโครงการส่งเสริมศก.ชุมชน-อีอีซี

‘อาคม’ยันทุ่ม 4 แสนล้านฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เน้นลงทุนโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน-อีอีซี จับมือแบงก์ชาติคุมบาทแข็ง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลภายหลังการระบาดของโควิด-19 จะเน้นการการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกคน ผ่านการลงทุนที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่ไปกับการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทั้งจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งต่างๆ

ทั้งนี้ รัฐบาลมีงบประมาณ 4 แสนล้านบาทสำหรับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยจะเน้นในโครงการที่ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน การลงทุนในโครงการอีอีซี รวมถึงการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่รับผิดชอบมีการอนุมัติแผนการลงทุนต่างๆ รวมแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท โดยเชื่อว่าโครงการทั้งหมดจะไม่ได้แค่ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตและแข่งขันได้เท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และการดำเนินการดังกล่าวยังจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่านการเร่งขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยการปฏิรูปโครงสร้างภาษีจะเน้นเรื่องการส่งเสริมพลังงานสะอาด ส่งเสริมสุขภภาพประชาชน และส่งเสริมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งไทยยังมีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมองว่าในทุกครั้งที่มีวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับการเติบโตได้เสมอในอนาคต

สำหรับโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนผู้มีรายได้น้อยและเศรษฐกิจระดับฐานรากนั้น ขณะนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอรัฐบาลพิจารณาเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2564 และในปีหน้ารัฐบาลยังมีความพยายามที่จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการประเมินความสำเร็จของมาตรการที่ได้ทำในปีนี้ และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างถูกทิศทางและเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างตรงจุดแท้จริง

ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว หลังจากนี้ประเทศไทยจะค่อยๆ เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา แต่จะเป็นไปอย่างรอบคอบและระมัดระวัง หลังจากที่หลายประเทศมีการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 โดยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังจากนี้จะเน้นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียก่อนเป็นกลุ่มแรก

นายอาคม ยังกล่าวถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ ว่า กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำงานอย่างสอดประสานกันในการดูแลสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักของ ธปท. ในการดำเนินการเรื่องนี้ และคาดว่าหลังจากนี้อาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างออกมา แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการออกมาตรการเพื่อทำให้เงินบาทไม่แข็งค่ามากเกินไปแล้วก็ตาม

“ธปท. จะคอยดูแลเรื่องนี้ อาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างออกมาอีก แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีมาตรการออกมาแล้วเพื่อทำให้สถานการณ์เงินบาทไม่แข็งค่ามากจนเกินไป โดยมองว่าคงจะต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เพื่อดูว่าทำอย่างไรให้เงินบาทสามารถแข่งขันได้ในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยน” นายอาคม กล่าว