บขส.คาดปีใหม่เดินทาง7-8หมื่นคน/วัน ททท.ชงศบค.ปรับเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกัน

บขส.คาดปีใหม่เดินทาง7-8หมื่นคน/วัน ททท.ชงศบค.ปรับเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกัน ก.อุตฯเดินหน้ารถเก่าแลกรถใหม่ 1 แสนคัน รองสรุปต้นเดือน ธ.ค.

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเทศกาลหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ หน่วยงานภาครัฐเริ่มออกนโยบายของขวัญปีใหม่มอบแก่ประชาชน ส่วนหน่วยงานที่ดูแลด้านการคมนาคมได้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ล่าสุด นายมาโนช สายชูโต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจเดินรถ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนถึงการประเมินยอดการจองตั๋วโดยสารเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า เบื้องต้นยังมีจำนวนยอดจองตั๋วไม่มาก มีประมาณ 15% ของจำนวนตั๋วทั้งหมด

“คาดว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีประชาชนเดินทางประมาณ 7-8 หมื่นคนต่อวัน และคาดว่าจะมีจำนวนคนเดินทางน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมียอดคนเดินทาง 1.1-1.2 แสนคนต่อวัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจทำให้ประชาชนเดินทางน้อยลงบขส.ได้เตรียมจัดรถโดยสาร ประกอบด้วยรถ บขส. รถร่วม และรถตู้ รวมกว่า 6,000 เที่ยว รองรับผู้โดยสารที่ใช้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ประกอบด้วย จตุจักร ถนนบรมราชชนนี เอกมัย และปิ่นเกล้า ได้สูงสุดวันละ 120,000 คน โดยยืนยันว่า บขส.จัดเตรียมจำนวนรถเพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสารไม่มีตกหล่นอย่างแน่นอน” นายมาโนช กล่าว

  • 1.2ล้านสิทธิออกเที่ยวแล้ว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน มีจำนวนผู้ลงทะเบียนรวม 6.59 ล้านคน ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 6.28 ล้านคน ไม่มีผู้อยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องกับฐานข้อมูลกรมการปกครอง และมีผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จ 0.3 ล้านคน ซึ่งในกรณีนี้สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ โดยในจำนวนนี้ มีผู้ใช้สิทธิโรงแรมแล้วกว่า 3,508,008 สิทธิ จากจำนวนทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ ทำให้มีมูลค่าห้องพักที่จองทั้งหมด 9,543.4 ล้านบาท แบ่งเป็นจ่ายโดยประชาชน 5,901.9 ล้านบาท และรัฐสนับสนุน 3,641.5 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืนที่จอง 2,784 บาท มีจำนวนโรงแรมที่มีการจอง 4,812 แห่ง

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับผู้ได้รับคูปองอาหาร 782,568 ราย ยอดใช้จ่ายทั้งหมด 3,002.6 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดใช้จ่ายประชาชนอยู่ที่ 1,849.4 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านคูปอง 1,153.2 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนทั้งหมดมีผู้ทำการเช็กอินแล้วจำนวน 1,233,363 ห้อง

  • ททท.ปรับเงื่อนไขชงศบศ.ธ.ค.

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับบัตรโดยสารเครื่องบิน ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนได้รับสิทธิเงินคืนค่าบัตรโดยสารแล้ว 82,104 ราย จำนวนจองที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว 101,472 ใบ จำนวนบัตรโดยสารหรือผู้โดยสารที่ได้รับสิทธิแล้ว 177,870 สิทธิ จากจำนวนทั้งหมด 2 ล้านสิทธิ คิดเป็นมูลค่าบัตรโดยสารที่ได้รับสิทธิแล้วจำนวน 469.96 ล้านบาท ซึ่งในยอดทั้งหมดแบ่งเป็นการจ่ายโดยประชาชน 310.28 ล้านบาท รัฐบาลสนับสนุน 159.68 ล้านบาท ในส่วนของผู้ประกอบการ แบ่งเป็นโรงแรมและที่พัก ลงทะเบียนรวม 8,009 แห่ง ร้านอาหาร ลงทะเบียนรวม 64,790 ร้าน สถานที่ท่องเที่ยว ลงทะเบียนรวม 1,930 แห่ง และร้านค้าโอท็อป ลงทะเบียนรวม 1,289 แห่ง

“การปรับเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกัน กำลังใจ และการใช้สิทธิตั๋วเครื่องบิน ขณะนี้ได้จัดทำแผนและรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอสรุปกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนนำเข้าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) ในครั้งต่อไปต้นเดือนธันวาคมนี้” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

  • เคาะเกณฑ์รถเก่าแลกใหม่ต้นธ.ค.

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงนโยบายรถเก่าแลกรถใหม่ ว่า เป็นแนวคิดของรัฐบาลที่จะกระตุ้นกำลังซื้อรถใหม่รวมไปถึงรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า เบื้องต้นอยู่ระหว่างการพิจารณากรอบอายุรถเก่าที่จะนำมาเข้าโครงการ จะอยู่ที่ 10-15 ปีหรือไม่ต้องดูปริมาณรถยนต์เก่าเหล่านี้ว่ามีจำนวนเท่าไร จึงจะกำหนดอายุรถเก่าที่จะเข้าโครงการได้ว่าควรจะมีอายุกี่ปี สำหรับประเด็นส่วนลดราคารถใหม่นั้น จะใช้มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่ภาษีสรรพสามิตยังคงมีอยู่ ส่วนจะมีอัตราเท่าไรอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด อาจตั้งเป้าหมายเปลี่ยนรถเก่าเป็นรถใหม่ 1 แสนคัน แต่จะต้องหารือในรายละเอียดต่างๆ ก่อน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 15 วันนับจากนี้หรือชัดเจนต้นเดือนธันวาคมนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะไปบูรณาการกับภาคส่วนอื่น ในการกระตุ้นความต้องการรถยนต์ในประเทศให้เพิ่มขึ้น พร้อมส่งเเสริมให้ประชาชนหันเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์สมัยใหม่ ทั้งกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบและรถสันดาปภายในที่มีมาตรฐานการปล่อยไอเสีย ยูโร 5 ยูโร 6 ที่เริ่มมีการผลิตบ้างแล้วในประเทศไทย เพื่อช่วยลดปัญหามลภาวะฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายกอบชัยกล่าว และว่า ในส่วนของการกำจัดซากรถยนต์เก่านั้น ได้หารือกับค่ายรถยนต์ต่างๆ และองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (เนโดะ) จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้มีกลไกที่เหมาะสม และกำจัดซากรถยนต์อย่างถูกต้องต่อไป

  • ธ.ก.ส.เตรียมชดเชยราคายาง

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า ในวันที่ 26 พฤศจิกายน เตรียมหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรชาวสวนยาง กว่า 1.8 ล้านราย ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ พื้นที่ยางพาราได้รับการชดเชยราคาครอบคลุม 18 ล้านไร่ ให้ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาท/กิโลกรัม (กก.) น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาท/กก. กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) ไม่เกิน 20 กก./ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ไม่เกิน 40 กก./ไร่/เดือน ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 วงเงินรวม 10,042 ล้านบาท

“รายละเอียดการประกันรายได้ชาวสวนยาง และคนกรีดจะได้รับเงินชดเชยราคายางพารางวดแรก โดยราคายางแผ่นดิบชั้นดีราคาอ้างอิง อยู่ที่ 62.62 บาท/กก. รัฐบาลไม่ต้องชดเชยยางในกลุ่มนี้เพราะราคาประกันที่รัฐบาลกำหนดไว้คือ 60 บาท/กก. น้ำยางสด (DRC 100%) ชดเชยราคา 4.14 บาท/กก. เนื่องจากราคาอ้างอิงอยู่ที่ 52.86 บาท/กก. ส่วนราคาประกันอยู่ที่ 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคาชดเชย 3.91 บาท/กก. จากราคาอ้างอิง 19.09 บาท/กก. ส่วนราคาประกันรายได้ที่ราคา 23 บาท/กก. คาดว่าการจ่ายประกันงวดแรกจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท” นายประพันธ์ กล่าว

  • คนละครึ่งใช้จ่าย2.5หมื่นล้านบาท 

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน มียอดใช้จ่ายสะสม 25,125.2 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนใช้จ่าย 12,821.9 ล้านบาท และรัฐบาลช่วยจ่ายอีก 12,303.3 ล้านบาท ส่วนจำนวนร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการมี 802,901 ร้านค้า

ที่กระทรวงการคลัง น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวหลังเข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า ได้ขอให้ทางกระทรวงการคลังออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากมองว่าเป็นโครงการนี้มีประโยชน์ และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้เป็นอย่างดีในช่วงที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้น