‘อนุชา’ เชื่อปัญหาม็อบเหลืองไล่ล่าธนาธรไม่ลุกลาม รับต้องประนีประนอม สองขั้วความคิด

‘อนุชา’ ชี้ ‘ม็อบเหลือง’ จ้องล้อมธนาธร เป็นเรื่องการเมืองใหญ่ ไม่ใช่ท้องถิ่น ยันต้องประนีประนอม ‘ความคิดสุดขั้ว’ ขอร้องอย่าตั้งแง่หาว่ายื้อเวลา แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้แล้วค่อยมาว่ารัฐบาล

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีคนใส่เสื้อเหลืองล้อมรถ เพื่อค้นหาและขับไล่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขณะลงพื้นที่หาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.) ว่า คิดว่าแต่ละท้องถิ่นมีหลายฝ่ายหลายกลุ่มที่อยู่รวมตัวกัน ซึ่งหลายกลุ่มก็ไม่ได้คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่การบริหารเรื่องความคิดก็ควรเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่ตนเรียกร้องคือ ปัญหาแตกแยกทางความคิดไม่อยากให้ลุกลามบานปลาย และอยากให้แก้ปัญหากันอย่างถูกต้อง หากเป็นการเมืองใหญ่ก็ต้องแก้กันที่สภา เรื่องท้องถิ่นก็ต้องบริหารจัดการแก้กันในท้องที่แต่ละจังหวัดแต่ละท้องที่ ที่จะต้องบริหารจัดการความแตกแยกทางความคิดให้ได้ ส่วนกรณีของนายธนาธร คิดว่าคงไม่ลุกลามและคิดว่าเป็นเรื่องการเมืองใหญ่คงไม่ใช่เรื่องของท้องถิ่น เป็นความแตกแยกทางความคิดที่บางครั้งดูแล้วสุดโต่งไปของแต่ละฝั่งที่ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นที่กังวลโดยเฉพาะปัญหาทางความคิดที่สุดขั้วเกินไป เป็นเรื่องที่ต้องประนีประนอมและหาข้อยุติ

“ความแตกแยกทางความคิดและนำไปสู่ความรุนแรง ทางพรรคพลังประชารัฐไม่เคยมีนโยบาย และไม่เคยมีความคิดเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยหยิบยกเรื่องพวกนี้มาพูดคุย และไม่คิดว่าจะเป็นปัญหารุนแรงจนถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดตามวิถีทางของประชาชนเองโดยไม่มีผู้นำไปแบ่งแยก แต่ความแตกแยกทางความคิดนี้อาจจะลุกลามไปทั้งประเทศเพราะความคิดเห็นทางการเมืองใหญ่ที่แตกแยกมันเป็นประเด็นที่สำคัญมาก จึงอยากให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงความผาสุกและความสงบของประชาชน จึงอยากให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว และการแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะมาร่วมกันพาประเทศไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ ทุกฝ่ายก็พยายามทำกันอยู่แล้ว ยืนยันเรามีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้านขออย่างเดียวอย่าตั้งแง่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะการที่ทุกฝ่ายจะได้ตามที่ตัวเองต้องการทุกข้ออย่าตั้งเงื่อนไขไปถึงขนาดนั้น ผมอยากเห็นทุกฝ่ายมีความพอดีที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แท้จริง ไม่ใช่กำหนดวันเวลาเพื่อมาตั้งเงื่อนไขเป็นประเด็นทางการเมืองผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย และขอให้เชื่อมั่นได้เลยว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน ไม่ใช่อะไรก็มาคิดเป็นประเด็นการเมืองแล้วบอกว่ารัฐบาลดึงเวลา” นายอนุชากล่าว

นายอนุชากล่าวต่อว่า แต่หากถึงเวลาแล้วไม่แก้รัฐธรรมนูญตอนนั้นค่อยมาต่อว่ารัฐบาล ทั้งนี้ ตนเป็นนักการเมือง ไม่อยากให้ใครดูถูกนักการเมือง ถามว่าเวลาประชาชนดูถูกนักการเมืองตนสะท้อนใจและเสียใจจริงๆ เพราะอยากเห็นการเมืองดีจริงๆ ไม่เคยคิดจะอยากเห็นการเมืองที่สังคมดูแคลนและสังคมคิดว่าการเมืองแก้ไขปัญหาไม่ได้ ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้แทนประชาชนเข้ามาแล้วก็อยากให้เห็นว่าเราตั้งใจแก้ปัญหาจริงๆ ไม่ใช่เพื่อประโยชนส่วนตัว ของพรรค หรือของหมู่คณะ

“ผมไม่เคยออกมาเลยบนท้องถนนแม้แต่ครั้งเดียว ผมก็ยังยืนยันจุดยืนของผม ในชีวิตของผมไม่เคยเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด เพราะผมยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบประเทศไทยและประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ทำให้พวกเราอยู่กันได้ถึงขนาดนี้” นายอนุชากล่าว