‘แอมมี่’ เผยเรื่องที่ไม่เคยเล่ามาก่อน ตั้งแต่ร่วมม็อบจนถูกจับ – นิสิตจุฬาฯ รับไม่ได้ปมสลายชุมนุม

‘แอมมี่’ เผยเรื่องอีกมุมที่ไม่เคยเล่า ตั้งแต่ร่วมม็อบจนถูกจับ – นิสิตจุฬาฯ รับไม่ได้ปมสลายชุมนุม

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เวลา คณะจุฬาฯ ได้จัดงาน “รัฐร้าวเราไม่ลืม” รัฐและความรุนแรง ความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ที่บริเวณสกายวอร์ค MBK แยกปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยบรรยากาศเมื่อ เวลา 18.10 น. เป็นตัวแทนนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปราศรัยโดยย้อนเล่าถึงช่วงเวลาก่อนสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุ นายสิรภพ อัตโตหิ หรือแรปเตอร์ นิสิตจุฬาฯ อยู่บนทางด่วน เห็นรถกองกำลังของเจ้าหน้าที่ ทำให้รู้สึกใจไม่ดี โทรมาบอก พวกตนจึงรีบไปเตรียมเครื่องมือปฐมพยาบาล อุปกรณ์ต่างๆไว้ และในเวลาต่อมาก็มีประกาศว่าเจ้าหน้าที่ใช้รถฉีดน้ำฉีดใส่ประชาชน พวกตนเลยประกาศว่าที่จุฬาใช้เป็นที่หลบภัยได้ มีเด็กเดินเข้ามาแล้วถามว่า ‘พี่มีน้ำเปล่าไหมคะ หนูแสบไปหมด’ หลักสากลเรื่องการควบคุมการชุมนุมที่เคยเรียนมามาสูญสลายไปหมด ความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ความรุนแรงในรัฐมันแปลงกายได้ โดยเป็นการอุ้มหาย การไม่รับผิดชอบ

“ทุกคนโดนใช้ความรุนแรงอยู่รู้ตัวหรือไม่ เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินถูกใช้เป็นครั้งที่8, 147 วันที่วันเฉลิมหายตัวไป, 10ปี 6 เดือน 15วัน กระสุนนัดแรกที่ยิงกลุ่ม นปช. , 16ปี4วัน จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่มัสยิดนราธิวาส จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เกิดจากความรุนแรงจากรัฐ เป็นเรื่องราวที่ลืมไม่ได้จะจำก็จำไม่ลง เรามีสื่อที่ถูกลิดรอนเสรีภาพไม่ให้มีการนำเสนอของฝั่งประชาชน ที่พยายามถ่ายทอดเรื่องราวจากการสลายการชุมนุมของรัฐ เจ้าหน้าที่ถูกนำตัวไปที่บนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกมัดแขน ถูกนำไปที่ไหนต่อก็ไม่รู้ นี่คือการคุกคามของรัฐแม้ตอนนี้เราก็ถูกรัฐคุกคามจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขอให้ทุกคนอย่าท้อกับรัฐบาลนี้ ในฐานะดิฉันเป็นนิสิตจะถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่ดิฉันขอยืนหยัดที่จะต่อสู้ต่อไป” นิสิตจุฬากล่าว

ต่อมาเวลา 18.15 น. นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ ขึ้นปราศรัยโดยได้เล่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม รวมถึงประสบการณ์ที่ตนได้ไปอยู่ในเรือนจำคลองเปรมจนกระทั่งถูกปล่อยตัวออกมา

โดยแอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ กล่าวว่า ตนดีใจที่ได้รับอิสรภาพไปครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งเป็นของเพื่อนตนที่อยู่ข้างในอยู่ ยังมีเพื่อนของเราที่อยู่ด้านในอยู่ตอนนี้ซึ่งหลักๆ ก็อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

จากนั้น แอมมี่เริ่มเล่าเหตุการณ์ในวันที่ 13 ตุลาที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ขอให้มาฟังเรื่องจริงที่ตนไม่เคยได้ให้สัมภาษณ์ที่ไหนเลย บอกแค่บางสื่อ และเพื่อนที่ร่วมกระบวนการกัน

“อันดับแรกวันไหนที่จะเริ่มมีการชุมนุมจะต้องเตรียมตัวอย่างน้อย 1 วัน เพื่อดูแลพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัด เหนือ ใต้ อีสาน หนึ่งในนั้นคือเครื่องขยายเสียงด้วย ซึ่งพวกผมไม่ได้ตั้งใจขวางการจราจร โดยพวกตนตั้งอยู่บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ คนที่เข้ามาเจรจาคือคนที่ติดยศมาเต็ม สิ่งที่เขาต้องการคือไม่ต้องการให้มีอะไรอยู่บนถนนเลย ระหว่างที่เดินทางไปไม่อยากเห็นอะไรเลยขวางทางเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่เต็มยศมาควบคุม มีกี่กองร้อยเอามาให้หมด รถที่มาผมต้องยืนขวาง กำลังคนผมมีแค่ 30 คน นี่เป็นคำอธิบายที่น่าตลก ว่าเขาไม่อยากเห็นอะไรขวางทางถนน พวกเขามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน. สำราญราษฏร์ผมวิ่งเข้าไปบอกไผ่ดาวดินบนเวทีว่า ต้องมีการสลายพร้อมกับการส่งคนให้ไปอยู่ด้านนอก และได้เห็นจริงๆ ว่ามีคนจำนวนสามกองร้อย เขาพยายามจะเจรจากับไผ่แต่ไผ่ไม่ยอมเจรจา ตามนิสัยของไผ่ ผมรู้สึกเขวเพราะไม่อยากให้มีใครเป็นอะไร

เขาบอกขอได้ไหมให้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการยกเต็นท์ออกไป แต่มันเป็นศักดิ์ศรี พี่น้องที่มีจากอีสานเขามาเพื่อสู้ และเขาก็สลายชุมนุมจริงๆ ผมและน้องอีกคนที่ยืนอยู่หน้าสุด พร้อมมวลชนที่ยืนล้อมไผ่เอาไว้ น่าแปลกที่เจ้าหน้าที่เข้ามาสลายการชุมนุมจะปิดชื่อโดยเทปสีดำ มีน้องคนหนึ่งถูกลากไปกระทืบต่อหน้า และผมก็วิ่งตามไป มีนักข่าวหลายสื่อวิ่งตามไปถ่าย ไผ่บอกว่าให้สันติ แต่ก็มีรถตำรวจคันหนึ่งวิ่งไป ผมจึงวิ่งตามไปและคุกเข่าและร้องไห้เลย ขอร้องให้เขาปล่อยน้องที่ถูกจับ แต่มันไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นความรู้สึกที่เราไม่สามารถปกป้องน้องได้ ซึ่งผมรับปากกับคนเสื้อแดงว่าจะสู้ต่อเพื่อพวกเขา จึงวิ่งไปหาไผ่บอกว่าน้องคนหนึ่งถูกจับไปแล้ว ต่อมาผมก็โดนจับและถูกยึดโทรศัพท์” แอมมี่กล่าว

จากนั้น แอมมี่ ยังเล่าต่อไปว่า พอตนถามว่าจะพาไปที่ไหนเขาก็ไม่ตอบ ถามว่าจะแจ้งข้อหาอะไรเขาก็ตอบไม่ได้ วันแรกถูกนำตัวไปที่ตชด.ภาค 1 โดยไม่แจ้งข้อหา ไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม

“ผมอยู่ในนั้นโดยไม่มีคำตอบว่าโดนจับเพราะอะไร และไม่รู้เลยว่าจะแจ้งข้อหาอะไร เวลา 23.00 น. ได้ปล่อยให้ทนายและส.ส. ก้าวไกลเข้ามาเยี่ยม ซึ่งทนายและส.ส. ก้าวไกลมาถึงตั้งแต่ 17.00 น. หนึ่งในส.ส. ที่มาเยี่ยมผมคือ กอล์ฟ ธัญญ์วารินทร์ และคนที่อยู่กับผมคนสุดท้ายคือ ส.ส.พิธา เพราะวันนั้นผมเข้านอนเป็นคนสุดท้าย

สิ่งที่ทำให้ผมไม่กลัวอีกแล้วคือเดินไปทุกตารางนักโทษตะโกนชื่อผมและไผ่ ผมผ่านมาได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งผมเข้าไปใช้เสียงดนตรีและกับมิตรภาพ เพราะพวกเขาอยากฟังเพลงของผม ตั้งแต่วันนั้นก็นักโทษทยอยเข้ามา วันนั้นมีแต่อาหาร สิ่งที่ตอบแทนได้คือการที่เรามีนักศึกษานิติศาสตร์ก็ได้ให้คำปรึกษากับนักโทษ ซึ่งผมหวังว่าจะได้ออกมาม็อบ และสิ่งที่นักโทษหวังคือการได้ออกมาและต้องขอบคุณทุกคนที่มา

“สิ่งที่ณัฐวุฒิพูดกับผมคือ พวกผมติดคุกเพราะเป็นนักสู้ไม่ใช่นักโทษ จงทำตัวให้มีบุคลิกภาพเป็นนักสู้ เป็นสิ่งที่ดีที่นักโทษเห็นพวกตนเป็นนักสู้ไม่ใช่นักโทษ” แอมมี่กล่าว และยังบอกว่า เชื่อว่าพวกเราจะได้รับชัยชนะ วันนี้แม้มันจะไม่จบในรุ่นตน ก็จะจบในรุ่นคุณ ไม่จบในรุ่นคุณก็จบในรุ่นลูกตน และคำว่าให้มันจบที่รุ่นเรามันเป็นอินฟินีตี้ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด” แอมมี่ ระบุ

แอมมี่ กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ขอบคุณที่ทุกคนมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วย และวันนี้พี่สาวของวันเฉลิมมานั่งอยู่กับเราวันนี้ วันนี้ตนจะขอร้องเพลงที่ได้จากมวลชนมา โดยให้มวลชนเปลี่ยนคำร้องในท่อนฮุค เพลง 12345 I love you