คนเสื้อแดงร่ายบทกวี ลั่น สู้ตายไม่ต้องจ้าง ย้อนเล่านาทีสลายชุมนุมปี 53

คนเสื้อแดงร่ายบทกวี ลั่น สู้ตายไม่ต้องจ้าง ย้อนเล่านาทีสลายชุมนุมปี 53

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่บริเวณสกายวอล์ก MBK แยกปทุมวัน กรุงเทพมหานคร คณะจุฬาฯ จัดงาน “รัฐร้าวเราไม่ลืม” รัฐและความรุนแรง ความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน โดยบรรยากาศเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ผู้อยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. ปี 2553 ปราศรัยว่า ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บกว่าพันคน ตนคิดว่าคนรุ่นใหม่ในที่นี้คงคิดว่าเป็นภาพไฟไหม้ คิดว่าเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ตอนนั้นมีปัญหาเรื่อง ส.ส.งูเห่า เสื้อแดงเลยออกมาเคลื่อนไหวให้เลือกตั้งใหม่ การชุมนุมเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม เริ่มชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน

“ช่วงนั้นมีการกรีดเลือด มีการจัดขบวนเคลื่อนไหวทั่วกรุงเทพฯ มีการเจรจาเปิดโต๊ะ บอกเขาขอเวลา 6 เดือนแยกย้ายกลับบ้านไปก่อน และทางเรามีการขอคืนพื้นที่วันที่ 10 เมษายน ตอนนั้นมีการชุมนุมสองที่คือราชดำเนินและราชประสงค์ ตอนนั้นมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการประกาศของกำลังคนไปแยกมัฆวานรังสรรค์ และแยกจปร. ที่แยก จปร.ใช้แผนหวานเย็น เจ้าหน้าที่ทหารก็ตกลงว่าจะอยู่แค่นี้ จากนั้นได้ยินเสียงปืนจากแยกมัฆวานรังสรรค์ และมาทราบว่าตรงนั้นมีผู้เสียชีวิตด้วย

“ผมได้สัมผัสกับแก๊สน้ำตา ใครนิยามว่าแก๊สน้ำตาไม่รุนแรง มันรุนแรงมากๆ คนที่มาสู้บางคนมีลูกมีเมีย บางคนอาจจะมีโอกาสได้กลับ บางคนไม่มีโอกาสได้กลับ อยากจะฝากบทกวีที่เขียนเมื่อปี 53 ชื่อว่า แดงคือสีแห่งเสรีภาพ ผู้ปราศรัยกล่าว จากนั้นท่องบทกวี ความว่า

‘นกกระจาบ นกกระจอก ออกเคลื่อนไหว
นกกระจิบ โพกผ้าแดง อย่างมั่นใจ
ถึงเวลา รื้อไล่ เผด็จการ

แดงคือสีแห่งความเสมอภาค
คนจนยาก กู่ก้อง ร้องขับขาน
เสียงของกู ถูกมึงกด มาช้านาน
ไม่จ้างวาน กูก็สู้ และสู้ตาย

แดงคือสีแห่งภราดรภาพ
เป็นเหมือนญาติ เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนสหาย
ตีนหนึ่งตบ ตีนหนึ่งตอบ ยิ้มทักทาย
รอยยิ้มพราย ทั่วพ้อง ทั้งแผ่นดิน

แดงคือสีแห่งประชาธิปไตย
เด่นชัดไกล แม้ยามมืด ยุคทมิฬ
คนคือคนเท่ากัน คือความจริง
และความจริง คือความจริง ยิ่งยืนนาน’