เผยแพร่ |
---|
‘วิโรจน์’ สับ ‘ประยุทธ์’ เป็นแกนกลางปัญหา จนเกิดโครงการไล่ประยุทธ์ผุดทั่วไทย แนะ เสียสละลาออก-ร่างรธน.-ยุบสภา ให้ปชช.เริ่มนับอนาคตตัวเองแบบ “1 2 3 4 5 …”
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เวลา 11.25 น. ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ความแตกต่างหลากหลายและความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปกติของทุกสังคม การจะบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกันก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นที่ละเอียดอ่อน เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นความหวาดระแวงของประชาชนที่เห็นต่าง แต่ตนเชื่อว่าประชาชนคนไทยตระหนักดีว่าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกวันนี้ทุกองค์กรจะต้องมีการปรับตัวบ้างไม่มากก็น้อย
นายวิโรจน์กล่าวว่า การจะดึงทุกอย่างให้คงเดิมโดยไม่ปรับตัวใดๆ เลย ไม่เป็นผลดี และอาจก่อผลเสียในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ต่อไป ทุกวันนี้คนที่คิดต่างอยู่รอบตัว หลายคนอยู่ใกล้ตัวเรา เช่น พ่อแม่ลูก เป็นเพื่อนสนิทที่คอยกอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุข เราไม่สามารถให้คนที่เห็นต่างจากเราออกไปจากชีวิตเราได้ ท่าทีของรัฐบาลต่อปรากฏการณ์นี้สำคัญอย่างมาก รัฐบาลที่ยึดโยงกับประชาชนต้องรับฟังเสียงของประชาชน และใช้กลไกสภาหารือ ควบคู่ไปกับการสร้างพื้นที่ปลอดภัย และเปิดเวทีเพื่อพูดคุยกันด้วยเหตุผลอย่างมีวุฒิภาวะ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้การพูดคุยเรื่องสถาบันในพื้นที่สาธารณะมีวุฒิภาวะตามไปด้วย
นายวิโรจน์อภิปรายต่อว่า แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับไม่รับฟังเสียงของประชาชน แถมยังเหิมเกริมยืนกรานว่าตัวเองไม่เคยทำผิดอะไรเลย ที่ผ่านมาตั้งแต่ยึดอำนาจในปี 2557 จนถึงทุกวันนี้ท่านไม่เคยทำผิดอะไรเลยหรือ เมื่อนายกรัฐมนตรีที่เป็นแกนกลางของปัญหา ยืนกรานว่าตัวเองไม่ใช่ปัญหา และไม่คิดอะไรเลย จึงลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง และสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่ไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงไปในกองไฟ เพราะมีการเลือกปฏิบัติจับกุมประชาชนที่คิดต่าง รวมไปถึงการปิดกั้นสื่อมวลชน และที่ให้อภัยไม่ได้คือความพยายามผลิตซ้ำเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการก่อตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล และกลุ่มกระทิงแดง ที่มีความโยงใยกับรัฐ นำประเด็นอ่อนไหวมายุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังกัน
“กระทั่งประชาชนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าได้รับใบอนุญาตให้ฆ่าจากรัฐบาล จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยไม่สามารถจับกุมฆาตกรมาดำเนินคดีได้แม้แต่คนเดียว และนำไปสู่การทำรัฐประหารอีกด้วย เหตุการณ์แบบ 6 ตุลาฯ ได้เคยเกิดซ้ำขึ้น ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ พฤษภาคม 2553 และประวัติศาสหน้านี้ก็ไม่เคยถูกชำระ และฆาตกรก็ยังลอยนวล พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเรียนรู้ความเสียหายทางประวัติศาสตร์เลยหรือ แต่ยังนำคำว่าชังชาติและล้มเจ้ามาใช้ปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง และทำรัฐประหารซ้ำแบบนี้ต่อไปอีกหรือ
“นอกจากนี้ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ที่โพสต์เสียดสีประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลเป็นระยะ รวมไปถึงการออกเอกสารที่เกณฑ์ข้าราชการสวมเสื้อเหลืองออกมาเคลื่อนไหว การเกณฑ์ทหารและเจ้าหน้าที่มาใส่เสื้อเหลือง เข้ามาแฝงตัวกับประชาชน ซึ่งก็สังเกตอย่างชัดเจนว่าตัดหัวเกรียนเหมือนกันทุกคน พฤติกรรมเหล่านี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะแบ่งประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย ก่อนสร้างความขัดแย้งและนำไปสู่การปะทะต่อกัน จากเสื้อเหลืองที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรู้รักสามัคคี ได้ถูก พล.อ.ประยุทธ์นำมาใช้ปกป้องอำนาจตัวเองไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุการณ์การปะทะกันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็เหมือนเป็นการรับรองความชอบธรรมในการทำร้ายประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการตะโกนและชูสามนิ้วของนักเรียนเนตรนารี ต่อให้เกิดขึ้นจริงจะอย่างไรก็ไม่สามารถยอมรับให้เป็นความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงได้ สังคมจึงตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลกำลังให้ท้ายประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าไปทำร้ายประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลใช่หรือไม่” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์อภิปรายว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์อาจจะหลอนตัวเอง และบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าการชุมนุมของประชาชนมีคนอยู่เบื้องหลัง มีการดูถูกประชาชนอยู่ตลอดเวลา ไม่เชื่อว่าประชาชนจะมีความคิดเป็นของตัวเอง พอตัวเองไม่มีปัญญาบริหารราชการแผ่นดินก็ใช้มุกเดิมๆ จากยุคสงครามเย็น คือการสร้างปีศาจและยัดเยียดให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเกลียดอีกกลุ่มหนึ่ง พอเกิดเหตุปะทะกันก็ใช้อำนาจพิเศษ ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง หรือหนักข้อถึงการทำรัฐประหาร จากนั้นก็เข้ามาคืนความสุขบอกว่าขอเวลาอีกไม่นานและใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ตนยืนยันว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นหลายจุดพร้อมกันทั่วประเทศแบบโครงการไล่ประยุทธ์ผุดทั่วไทยนั้น ถ้ามีคนที่จะต้องอยู่เบื้องหลังก็น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เปิดเผยกับสื่อมวลชนอย่างตรงตรงว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา
นายวิโรจน์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญนี้ถูกออกแบบมาให้กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อประชาชน รัฐบาลชุดที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงไม่ได้เป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน ดังนั้น ประชาชนจึงอึดอัดจนแทบจะระเบิด แต่สิ่งที่ประชาชนต้องช่วยกันในเวลานี้คือ การประคับประคองไม่ให้สังคมนี้ตกเป็นเหยื่อเงื่อนไขความขัดแย้งและความเกลียดชังที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าคนที่คิดต่างนั้นมีอยู่จริง ซึ่งมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นต่างของเขา แต่ต่างฝ่ายต่างต้องมีการอดทนอดกลั้นและอยู่ร่วมกันได้ ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุมต้องเข้าใจก่อนว่าท่าทีที่ตรงไปตรงมาที่เราไม่คุ้นเคยจนกลายเป็นความเกรี้ยวกราดในบางครั้ง เป็นเพราะการถูกกดทับด้วยอำนาจนิยม ผ่านครอบครัวและสังคม ในระบบเส้น ระบบอุปถัมภ์และระบบโซตัสที่บอกแล้วต้องเชื่อ ห้ามตั้งคำถาม แต่ปัจจุบันละครตบจูบที่ผู้ใหญ่ดูแล้วสนุกนั้น พวกเขาตั้งคำถามว่าพระนางสามารถรักกันได้หรือไม่ หรือการที่บอกว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด พวกเขาก็ตั้งคำถามว่าต้องห่างระยะกี่เมตรหมาจึงไม่กัด
“การแก้ไขปัญหานี้เราจะใช้อำนาจนิยมกดเข้าไปอีกต่อไปไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดเราต้องพูดคุยและเข้าใจพวกเขาด้วยสายใยทางสังคมที่มีต่อกัน และมองคนเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมชาติที่อยู่ร่วมกันในประเทศนี้ ในขณะที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวด้วยความรักในสถาบันด้วยใจจริงก็มีอยู่จริง ประชาชนอีกฝ่ายก็ต้องเคารพคนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
“เชื่อว่าในปัจจุบันนี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังมีหนทางที่จะคลี่คลายได้ หากต่างฝ่ายต่างลดระดับการพูดที่เป็นการเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่ง ปรับโทนกันลงมา เมื่อประชาชนหวังพึ่งให้รัฐบาลนี้สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ที่ประชาชนจึงสร้างพื้นที่ปลอดภัยด้วยตัวเอง การพูดคุยเรื่องต่างๆ จะต้องมีฉันทามติร่วมกัน เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้จะต้องรู้ตัวเองว่าได้กระทำผิดอะไรลงไป ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นตัวกลางในการแก้ปัญหานี้
“ผมจึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์เสียสละลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และขอให้พรรคร่วมรัฐบาลได้พิจารณาถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นอิสระจากกลไก คสช. และร่างรัฐธรรมนูญจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ยึดโยงกับประชาชน จากนั้นจึงยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน ต้องยอมรับว่ารัฐนาวานี้ได้นับถอยหลังลงแล้ว 3 2 1 0 พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกเพื่อให้ประชาชนได้อนาคตของพวกเขาไปข้างหน้า 1 2 3 4 5 …” นายวิโรจน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายวิโรจน์อภิปรายเสร็จสิ้น นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว. ได้ลุกขึ้นประท้วงว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ที่นายวิโรจน์พูดถึงมีความแตกต่างจากเหตุการณ์ช่วงพฤษาคม 2553 โดยสิ้นเชิง เพราะปี 2553 ผู้ชุมนุมมาชุมนุมเรียกร้องว่ารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลตอนนั้นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การเรียกร้องตรงนั้นไม่ได้เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นความแตกต่างกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และอีกประเด็นท่านใช้คำว่ารัฐบาลในขณะนั้นล้อมปราบประชาชนที่แยกราชประสงค์ ในฐานะที่ตนเคยเป็นเลขาศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในขณะนั้น การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาตอนนั้นไม่มีการสลายการชุมนุม เพียงแต่รัฐบาลกระชับวงล้อม รัฐบาลใช้กำลัง ศอฉ.ขณะนั้นไปทำลายเครื่องกีดขวาง ไม่มีการสลายการชุมนุม ทำให้นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ลุกขึ้นประท้วงว่าประธานรัฐสภา ไม่ควรให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาชี้แจงลงรายละเอียดด้วยการใส่ร้ายประชาชนในเหตุการณ์ปี 53
โดยนายชวนระบุว่า อนุญาตให้นายถวิลชี้แจงต่อไป เพราะถูกพาดพิงจากการอภิปรายของนายวิโรจน์ และบอกว่าขอกลัวความจริง ตนตัดสินแล้วอนุญาตให้ชี้แจงต่อ