เผยแพร่ |
---|
วันที่ 27 ตุลาคม 2563 มานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล สัดส่วนชาติพันธุ์ แสดงความเห็นต่อกรณีศาลแพ่งมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่มารดาของ ชัยภูมิ ป่าแส ชาวลาหู่ เยาวชนนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อกลุ่มชาติพันธ์ุ ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 4 ล้านบาทจากการกองทัพบกก่อเหตุวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ขณะขับรถยนต์ผ่านด่านตรวจเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณบ้านรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 โดยระบุว่า ในสายตาของรัฐไทย คนลาหู่หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่แถบพื้นที่ชายแดนได้คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการด้านยาเสพติด ส่วนนัยทางการเมืองของประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเกิดขึ้นของรัฐชาติ กลุ่มคนเหล่านี้ถูกให้ความหมายว่าไม่ใช่คนไทย จึงถูกปฏิบัติเพียงแค่ผู้อาศัยพึ่งพิงแผ่นดินจึงทำให้กลายเป็นกลุ่มคนที่แทบจะไร้ซึ่งสิทธิและศักดิ์ศรีเยี่ยงคนปกติ และมักถูกผลักให้กลายเป็นปัญหาโดยเฉพาะภายใต้แนวคิด ‘ความมั่นคง’
“นี่คือชีวิตของเยาวชนนักกิจกรรมลาหู่คนหนึ่งที่พยายามรณรงค์ส่งเสียงของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเขา แต่ต้องถูกกระสุนของเจ้าหน้าที่รัฐพรากชีวิตไป โดยที่ยังเต็มไปด้วยข้อสงสัย ข้อครหาภายใต้บรรยากาศที่แสนอึมครึมของการชี้แจงข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาโดยตลอด”
มานพ ระบุว่า หลักฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้ข้อเท็จจริงประจักษ์ต่อสังคม คือ ภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุที่มีมากกว่า 9 ตัว แต่จนถึงวันนี้ สังคมกลับไม่เคยได้เห็นภาพเหล่านั้นแม้แต่วินาที ในขณะที่เคยมีคำพูดของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงคนหนึ่งอ้างว่าได้เห็นภาพจากกล้องดังกล่าว แล้ว จึงต้องถามว่าเหตุใดหลักฐานสำคัญที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ถึงกลับหายไปอย่างไร้ความรับผิดชอบโดยเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย หรือนี่จะเป็นอีกชีวิตอันไร้สิทธิ ไร้ศักดิ์ศรีอันเท่าเทียมที่ต้องตายจากไปพร้อมกับคำถามต่อความลอยนวลพ้นผิดของของรัฐไทยและความเป็นธรรมที่อาจจะตายตามเขาไป