เทพไท ประกาศตัว เป็นคนไม่ล้มเจ้า แต่ก็ไม่โหนเจ้า วอนนักการเมืองอย่าหนุนหลัง จัดม็อบเอง

“เทพไท”ประกาศตัว เอาเจ้า ไม่ล้มเจ้า ไม่โหนเจ้า วอน พรรคการเมือง อย่าจัดม็อบเอง ขอให้เป็นไปโดยธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งอื่นที่เกี่ยวข้อง ว่าเป็นการคืนสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมให้กับประชาชน ที่ต้องการแสดงออกทางการเมืองภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อจากนี้ไปก็จะมีการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงพลังของกลุ่มต่างๆให้เห็นมากขึ้น แต่ขอให้ทุกฝ่ายจัดกิจกรรมการชุมนุมภายใต้กรอบของกฎหมาย หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการชุมนุม จนเกิดเป็นม็อบชนม็อบขึ้นมา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมืองเพราะการชุมนุมของแต่ละกลุ่มก็จะมีมวลชนที่หลากหลาย เหมือนกับกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่มีข้อเรียกร้องหลัก3ข้อคือให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก,ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, ให้มีการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งใน3ข้อนี้ ก็อาจจะมีมวลชนเห็นด้วยกับข้อเสนอเพียงบางข้อ เช่น ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก และต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนการชุมนุมของกลุ่มปกป้องสถาบัน ก็เช่นเดียวกันอาจจะมีเป้าหมายในการปกป้องสถาบัน แต่ไม่ต้องการรัฐบาลเผด็จการ หรือรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ได้ปรากฎให้เห็นในการชุมนุมของกลุ่มปกป้องสถาบัน ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะมาแล้ว ซึ่งเป็นสิทธิ์ของมวลชนในการชุมนุมของแต่ละฝ่าย

นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเห็นว่าการชุมนุมเป็นสิทธิทางการเมืองของแต่ละบุคคล ซึ่งจะเห็นชอบกับข้อเสนอทั้งหมด หรือเพียงบางข้อของการชุมนุมก็ได้ สำหรับตนได้แสดงเจตนารมณ์ไว้อย่างชัดเจน ว่าสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ต้องการรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เอาการสืบทอดอำนาจของฝ่ายเผด็จการ จึงสามารถประกาศได้อย่างชัดเจนว่า ตนเป็นพวกเอาเจ้า ไม่ล้มเจ้า และไม่โหนเจ้า แบบสุดขั้วเหมือนกับกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ จึงขอเรียกร้องมายังกลุ่มการเมือง นักการเมือง และพรรคการเมือง ไม่ควรสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มใดๆ ควรปล่อยให้การชุมนุม หรือการแสดงออกของประชาชนเป็นไปโดยธรรมชาติ ต้องไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีการระดมคน ไม่มีการว่าจ้าง ขอให้เป็นความสมัครใจ และความเชื่อในอุดมการณ์ของแต่ละบุคคลจะเหมาะสมกว่า