สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) มีจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ความกังวลต่อสถานการณ์การใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม กรณีการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 โดยมีสาระสำคัญคือ รัฐบาลไม่ได้ยึดหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองประชาชน ปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน รวมถึงการไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างสงบ โดยอ้างความมั่นคงของรัฐในการออกมาตรการจำกัดสิทธิต่างๆ ขณะเดียวกันยังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีมาตรการจำกัดสิทธิเพิ่มขึ้นหลายประการจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทั้งที่กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันหลักการการไม่ใช้ความรุนแรง และจัดการการชุมนุมตามหลักสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบมาโดยตลอด

การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเป็นการออกมาตรการลดทอนสิทธิที่ขัดกับหลักการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ ที่กำหนดว่ามาตรการจำกัดสิทธิใดๆ ในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องเป็นไปตามเท่าที่จำเป็น โดยยึดหลักความสมส่วนต่อสถานการณ์และไม่ขัดกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนทั่วไปของรัฐ นอกจากนี้ การดำเนินการของรัฐในการจัดการกับกลุ่มที่เห็นต่างและการสร้างสถานการณ์ยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าหรือความขัดแย้งเป็นข้อน่ากังวลเช่นกัน

ทั้งนี้ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี 1.ปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไข 2.ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร 3.รับรองสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมของประชาชน รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงทนายความในการสู้คดี และ 4.ไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความเกลียดชังและนำไปสู่การใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม

ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม คนส.เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ทางเครือข่ายฯมีกำหนดการเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นแถลงการณ์ เรื่อง “หยุดสลายการชุมนุมและขจัดผู้เห็นต่าง สร้างทางออกให้ประเทศไทย” ซึ่งมีรายชื่อนักวิชาการแนบท้ายขณะนี้จำนวน 820 รายชื่อ (จะเปิดรับจนถึง 06.00 น. ของวันที่ 20 ตุลาคม 2563) โดยนัดหมายตั้งต้นขบวนที่ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 08.00 น.