ไล่ไทม์ไลน์ ตร.บุกไทยซัมมิท : ‘ปิยบุตร’ ห่วง ‘เสรีภาพสื่อ’ ถูกปิดกั้นนำเสนอข่าวชุมนุม เหตุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เปิดช่องตีความกว้าง

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม ที่อาคารไทยซัมมิท นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า จัดแถลงข่าวความเห็นต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และการดำเนินคดีกรณีขบวนเสด็จ

นายปิยบุตร กล่าวว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ที่ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่อ้างว่าเป็นการชุมนุมในที่สาธารณะโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความไม่สงบเรียบร้อยของประชาชน มีการกระทำที่กระทบต่อขบวนเสด็จพระราชดำเนิน มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล อันมิใช่การชุมนุมโดยสงบที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยใช้อำนาจตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

นายปิยุบตร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตามมาตรา 11 ที่ใช้อ้างนั้น ต้องมีเหตุอันควรว่ากระทบต่อความมั่นคงของรัฐแล้ว คือให้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นก่อนจึงจะประกาศได้ แต่การชุมนุม 3 ครั้งที่ผ่านมาของนิสิตนักศึกษา ไม่มีเหตุว่ากระทบความมั่นคงของรัฐ มีแต่การตั้งเวทีปราศรัย ผูกโบว์ขาว ชู 3 นิ้ว ร้องรำทำเพลง เดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ผู้ที่เป็นวิญญูชนมีสติสัมปชัญญะจะเห็นได้ว่าการชุมนุมไม่มีอะไรที่รุนแรง ไม่มีการทำร้ายทรัพย์สินของราชการหรือเอกชนรายใดรายหนึ่ง แล้วเหตุใดพล.อ.ประยุทธ์ จึงเลือกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ควรซื่อสัตย์กับตนเอง ควรกล้าหาญ พูดความจริง ว่าที่ท่านประกาศใช้ เพราะตนเองไม่สบายใจที่กระทบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตนเอง ซึ่งตนคิดว่านี่คือเหตุผลของพล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า

“หากเรายังยอมให้รัฐบาลใช้กฎหมายแบบฟุ่มเฟือย ก็เหมือนเราปล่อยให้รัฐบาลรวบอำนาจเข้าสู่ตัวเอง เหมือนการรัฐประหารโดยไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ และไม่ต้องใช้กำลังทหาร พล.อ.ประยุทธ์ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งระบบกฎหมายไทยไม่มีการถ่วงดุลใดๆ สภาผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจในการยับยั้งการใช้อำนาจของนายกฯ เลย” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวถึงกรณีการออกหมายจับนายเอกชัย หงส์กังวาล ฐานประทุษร้ายพระราชินี ว่า เหตุการณ์ในวันนั้นมีประชาชนกลุ่มหนึ่งยืนรอบๆ ขบวนเสด็จ ไม่มีการข่มขืนใจ ไม่มีการกักขังหน่วงเหยี่ยว ทำแต่เพียงชุมนุมรอบขบวนเสด็จ ชู 3 นิ้ว แต่ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะประทุษร้ายต่อเสรีภาพพระราชินีเลย อีกทั้งการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาก็กำหนดกันมาก่อนจะมีกำหนดการจากทางพระราชวัง แต่เมื่อทราบมีกำหนดการ แกนนำผู้ชุมชนก็เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากถนนพระราชดำเนิน ตั้งแต่ 14.00 น. ซึ่งผู้ชุมนุมไม่มีเจตนาจะไปขัดขวาง แต่ตรงกันข้ามพยายามหลีกเลี่ยง ในช่วงเวลานั้นไม่มีใครทราบ ทั้งผู้ชุมนุม หรือแม้แต่ตำรวจรักษาความปลอดภัยก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านมาตรงนางเลิ้ง จึงอยากให้เรื่องนี้กระจ่างชัดจากข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย

“สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ควรเกิดซ้ำอีก นั่นคือ ผู้กำกับภาพยนต์ เรื่อง 16 ตุลาคม 2549 ตั้งใจกลับมาฉายภาค 2 อีกหรือไม่ เพราะเหมือนมีคนบางกลุ่มอยากให้เกิดซ้ำอีก ชนวนเหตุคือการยุยงปลุกปั่นว่านักศึกษาไม่ต้องการสถาบัน จึงเกิดการสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์” นายปิยบุตร กล่าว

เลขาฯคณะก้าวหน้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนทราบดีว่าท่านกำลังปฏิบัติหน้าที่ และอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่อีกสถานะหนึ่งท่านคือมนุษย์ เป็นประชาชน จึงมิใช่เครื่องจักรสังหาร อยากให้เจ้าหน้าที่ได้คิดว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่ถูกหรือผิด ที่ต้องทำตามหน้าที่จับนิสิตนักศึกษาเข้าคุก อยากให้ทุกคนรวมพลังหยุดรัฐประหารผ่านการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นี่คือประเทศของทุกคนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง การที่คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้องเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลเอง ดังนั้นจึงอยากขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในทันที

ต่มาเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าวของนายปิยบุตร มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.มักกะสัน เดินทางมาที่บริเวณหน้าห้องแถลงข่าว จึงได้มีการปิดประตูและมีเจ้าหน้าที่ของคณะก้าวหน้าพูดคุยกับตำรวจอยู่ภายนอก

กระทั่งเวลา 14.47 น. ตำรวจ สน.มักกะสัน ได้นำ
หมายค้นขอเข้าตรวจค้นห้องแถลงข่าว ที่ทำการคณะก้าวหน้า โดยอ้างอำนาจตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งมอบอำนาจให้เจ้าพนักงานทำการตรวจค้น ขออำนาจตรวจค้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามคำสั่งห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และห้ามเสนอข่าวเผยแพร่ข้อมูล สิ่งอื่นใดที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัว บิดเบือน มาดูว่าเข้าข่ายหรือไม่

จากนั้น น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า จึงเปิดประตูเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้น พร้อมชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการแถลงข่าวในวันนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินดูบรรยากาศวนไปวนมาภายในห้องแถลงข่าว จนกระทั่งนายปิยบุตรแถลงเสร็จสิ้น จึงถามเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงอำนาจตามกฎหมายที่ใช้ในการตรวจค้น ก่อนเดินเข้ามาเจรจาพูดคุยกับทางตำรวจ

โดยในการพูดคุยเบื้องต้น นายปิยบุตรได้เตือนตำรวจถึงการทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา อย่าลืมความเป็นมนุษย์ เพราะทำกันแบบนี้สถานการณ์ถึงแรงขึ้น ทุกวันนี้ใกล้เคียงการรัฐประหารแล้ว เหลืออย่างเดียวคือฉีกรัฐธรรมนูญ ขอให้ตำรวจมาอยู่กับประชาชน เปิดพื้นที่ให้นักศึกษา ใช้กฎหมายปราบปรามเอาไม่อยู่ ตนเข้าใจการทำหน้าที่ต้องไม่เกินความเป็นมนุษย์

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ถามตำรวจถึงการมาตรวจสอบการแถลงข่าว ต้องทำทุกกรณีหรือไม่ ทางตำรวจตอบว่าขอถามผู้บังคับบัญชาก่อน และเมื่อถามว่าการตรวจค้นวันนี้พบอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ ตำรวจระบุว่ายังไม่พบ และไม่อึดอัดกับการทำหน้าที่

จากนั้นในเวลา 15.15 น. ตำรวจและนายปิยบุตรได้ขึ้นไปพูดคุยต่อเป็นการภายในที่ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท
ต่อมาเมื่อเวลา 16.20 น. นายปิยบุตร ได้ลงมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.มักกะสัน เข้าตรวจค้นขณะมีการแถลงข่าว โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า ผู้กำกับสน.มักกะสัน ใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นว่ามีการกระทำสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นพบไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆ จึงได้ลงนามข้อบันทึกของตำรวจ และไม่มีการแจ้งข้อหาหรือร้องทุกข์กล่าวโทษใดๆ กับตน

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ข้อสังเกตุหนึ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในข้อ 2 ระบุว่า ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้เผยแพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ซึ่งข้อบังคับนี้ตีความได้อย่างกว้างขวางในการใช้อำนาจปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน เพราะการชุมนุมที่อยู่ในขณะนี้จำเป็นต้องเปิดข่าวสารได้เต็มที่ ให้ประชาชนได้พิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วเสรีภาพของสื่อมวลชนจะอยู่ตรงไหน

“หากเรานำเสนอข่าวโดยไม่บิดเบือน แต่ผู้ใช้อำนาจอาจบอกว่าบิดเบือนก็ได้ นับเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างยิ่ง เพราะขณะที่ผมแถลงข่าวไม่เห็นด้วยกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในทันที จึงอยากเรียกร้องให้สื่อมวลชนช่วยกันเรียกร้องตรงจุดนี้ด้วย” นายปิยบุตร กล่าว