“จุรินทร์”ชูความร่วมมือใช้ประโยชน์ระเบียงการค้ารอบอ่าวเป่ยปู้ เชื่อมโยงขนส่งเพิ่มการค้าไทย-จีน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ ครั้งที่ 11 เปิดฉากแล้ว วันที่ 15 ตุลาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในช่วงพิธีเปิด ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยเน้นเรื่องการผลักดันความร่วมมือเชิงลึกกับมณฑลต่างๆ ของจีน รวมทั้งสนับสนุนยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงของจีนภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) โดยเห็นควรใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความเชื่อมโยงของท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ เพื่อเพิ่มการขนส่งสินค้าระหว่างกัน อันจะเป็นประโยชน์ในการขยายช่องทางการส่งออกสินค้าของไทยให้สามารถเข้าสู่ตลาดจีน รวมถึงตลาดในเอเชียกลางและยุโรปได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

นางอรมน กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือในหัวข้อ “จับตามองท่าเรือสากล ร่วมกันเสริมสร้างระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่ในยุคสมัยใหม่ของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลสายใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor) ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือและเส้นทางขนส่งทางบก ความร่วมมือและการพัฒนาด้านการขนส่งในหลายรูปแบบ และการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการทางศุลกากรระหว่างประเทศสมาชิก

ทั้งนี้ การพัฒนาความเชื่อมโยงข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรและผลไม้ของไทยไปจีนได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมและต่อยอดการใช้ประโยชน์จากการเปิดตลาดภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ซึ่งปัจจุบันมีการยกเลิกการเก็บภาษีสินค้าระหว่างกันกว่า 90% ของรายการสินค้าทั้งหมดแล้ว

“ไทยเข้าร่วมการประชุมฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งสมาชิกประกอบด้วยประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับอ่าวเป่ยปู้ (หรืออ่าวตังเกี๋ย) และทะเลจีนใต้ ได้แก่ จีน และสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ซึ่งกรอบความร่วมมือมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาให้อ่าวเป่ยปู้ให้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ขยายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนให้การสนับสนุนและผลักดันกว่างซีให้เป็นประตูสู่อาเซียน และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลในทศวรรษที่ 21 และข้อริเริ่ม BRI ของจีน นางอรมน กล่าว

นางอรมน กล่าวว่า ปี 2562 จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการค้า 79,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 16.46% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปจีนมูลค่า 29,200 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าสำคัญ อาทิ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนไทยนำเข้าจากจีนมูลค่า 50,300 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าสำคัญ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเหล็ก

สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 51,723.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 คิดเป็น 0.26% โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปจีน 19,625.27 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากจีนมาไทย 32,098.63 ล้านเหรียญสหรัฐ