‘สุวัจน์’ แนะรัฐเร่งขันนอตกระตุ้น ศก. หนุนออกมาตรการเฉพาะกลุ่ม ชี้วันนี้โลกเปลี่ยนต้องได้คน 2 รุ่นร่วมแก้วิกฤต

‘สุวัจน์’ แนะรัฐเร่งขันนอตกระตุ้น ศก. เชื่อโควิดอีกยาว เตรียมขยายเพดานเงินกู้ หาแหล่งเงินเพิ่ม หนุนลดขั้นตอนออกมาตรการเฉพาะกลุ่ม เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ชี้วันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยน ต้องได้คน 2 รุ่นช่วยกันแก้วิกฤต

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ทางออกของประเทศไทย ผ่านรายการคนหลังข่าว ทาง TNN 16 ตอนหนึ่งว่า ตนคิดว่าการเมืองวันนี้ต้องผสมผสานระหว่างคนรุ่นที่ 1 หรือรุ่นที่ 2 ยิ่งสถานการณ์ที่เผชิญสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี การปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และเป็นยุคนิวนอร์มอล เราจำเป็นต้องปั้นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์เข้าใจเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เสนอ เพราะการเลือกตั้ง 7-8 ครั้ง ที่ตนที่ผ่านมาแต่ละครั้ง จะเป็นคนรุ่นเก่า 75-80% จะมีคนหน้าใหม่เพียง 20% เท่านั้น แต่เที่ยวนี้ถือว่าเกินครึ่งเป็นคนหน้าใหม่ ดูเวลาอภิปรายในสภาจะรุนแรง หนักในเกม และเต็มไปด้วยข้อมูล ทำการบ้านมาชัดเจน ไม่น้ำเน่า

นายสุวัจน์กล่าวว่า ฉะนั้น วันนี้การเมืองเปลี่ยนแปลง ขณะที่รัฐธรรมนูญเก่าพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการเปิดโอกาสของคนรุ่นใหม่ ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความคิดใหม่ๆ มีเทคโนโลยี ที่สำคัญการเมืองยังมีหลายมิติมากขึ้น การตัดสินใจแต่ละครั้งจึงมองเป้าหมายเดียวไม่ได้ แต่ต้องมองด้วยความลึกด้วย มิติ 4 มิติ โดยจะมองแต่สังคมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ เรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความรอบรู้ ประสบการณ์ ความเก๋า บวกกับความสด จะทำให้เราได้คนรุ่นใหญ่ที่มีคุณภาพ

“ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นใหม่ได้รับโอกาสจากคนรุ่นเก่า แล้วคนรุ่นใหม่ก็เคารพคนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าก็มองคนรุ่นใหม่เป็นน้องๆ มีอะไรพยายามถ่ายทอด คนเราถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็ไปไม่ถึงอนาคต สมมุติว่า เราสร้างความรักชาติก็ต้องให้คนในชาติได้เห็นประวัติศาสตร์ของชาติว่าเราอยู่กันได้อย่างไร เราต่อสู้กับศัตรูที่มารุกรานได้อย่างไร เรามีสถาบันหลักๆ อะไร เรามีวัฒนธรรมอะไร บรรพชนเราเสียสละอะไร ยึดอยู่ในใจว่าประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างนี้ แต่บริบทตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็อยากให้เราสามารถผสมผสานวิธีคิด เอาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชาติ ความรู้สึกของคนไทย ความเข้าใจหลายๆ มิติในการตัดสินใจทางการเมืองนั้น ต้องมีการยับยั้งช่างใจดูให้ละเอียดจะได้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด” นายสุวัจน์กล่าว

นายสุวัจน์กล่าวว่า สำหรับทางรอดเศรษฐกิจนั้น มองว่าวันนี้ต้องมีการขับเคลื่อนในภาคปฏิบัติต้องลงมาดูกันทุกเวลา ทุกนาที ทุกชั่วโมงว่าต้องมีเป้าหมายชัดเจน ต้องขีดเส้น ถ้าไม่ขีดเส้นการกระตุ้นก็ไม่เกิด มันก็ไม่มีประโยชน์ ในที่สุดเราก็ต้องกลับมาแก้ไขปัญหาที่แก้ไม่ได้กันต่อไป ตอนนี้เราใช้เงินหมุนเวียน 1.9 ล้านล้านบาท ถือว่าใช้กระตุ้นน้อยแล้วก็ยังไม่ค่อยกระตุ้นอีก เพราะมันช้าอีก ฉะนั้น วันนี้ต้องเร่งมาตรการเก่าที่ออกมาให้มีผลใช้บังคับ คือ 1.มีผลเชิงปฏิบัติให้เร็วที่สุด 2.เรื่องของโควิดทั่วโลกมองว่าอย่างเร็วที่สุดก็กลางปีหน้า ดังนั้น เงิน 1.9 ล้านล้านบาท คิดว่าไม่พอ ตอนนี้พวกสภาอุตสาหกรรมภาคเอกชนก็เริ่มพูดกันแล้วว่า เงินเก่าก็ใช้ไม่หมด เพราะช้า และเงินจำนวนนี้ก็คงไม่มากพอ เราก็ต้องเตรียมเงินไว้ แล้วก็เตรียมเรื่องกฎกติกา อาจจะต้องไปขยายเพดานเงินกู้ ตอนนี้ 56-57 % ของจีดีพี อาจจะขยายขึ้นไปเป็น 1-2 ล้านล้านบาท ถามว่าจะเอาเงินที่ไหน ที่สำคัญยังมีมาตรการ วิธีปฏิบัติ ดังนั้น ต้องเตรียมให้ครบ ไม่อย่างนั้นคงลำบาก ตอนนี้เห็นว่า หลายที่ทยอยปิดงาน ผู้ประกอบการก็เริ่มปลด เกิดการว่างงานในจังหวัดต่างๆ

นายสุวัจน์กล่าวอีกว่า ตนคิดว่าต้องมีความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา คือ 1.รัฐบาลต้องลดขั้นตอนเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวให้มีขั้นตอนต่างๆ ให้น้อยที่สุด ให้ผู้ประกอบการอำนวยความสะดวกให้มากที่สุด และลดขั้นตอนให้รวดเร็ว แม้เข้าใจว่ามีขั้นตอนเพื่อป้องกันการรั่วไหล ทุกคนก็กลัวโดนสอบสวน แต่บางทีการกลัวมากๆ ก็ทำให้ความสำเร็จน้อยลง สถานการณ์วันนี้ต้องกล้าตัดสินใจ ต้องกล้าที่จะมีความโปร่งใส ต้องร่วมมือกัน

“วันนี้อยากจะแนะนำ ไม่กล้าที่จะใช้คำว่าสอนหรือปล่อยหมัด เดี๋ยวผมจะโดนน็อกเสียเอง แต่ผมว่าต้องลงไปขันนอต แม้นโยบายดี แต่ภาคปฏิบัติไม่ประสบความสำเร็จ มันช้า และไม่ทัน หัวใจกระตุ้นไม่เพียงพอ เดี๋ยวมาไม่ทันเวลา กลายเป็นยาหมดอายุอีก ก็จะเป็นปัญหา 2.ต้องมองต่อไปว่ามาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหานั้น ต้องหาและเข้าไปพบผู้มีปัญหาทุกภาคส่วน เราไม่สามารถใช้มาตรการเดียวแล้วคุมทั้งหมดได้ ดังนั้น ต้องเป็นมาตรการเฉพาะที่ถูกออกแบบออกมาเห็นพ้องต้องกันระหว่างภาคธุรกิจกับภาครัฐ โดยคุยต้องจบ และรวดเร็ว เพื่อความชัดเจนในแต่ละเซกเตอร์ 3.ต้องเตรียมเงินไว้อีก เพราะโควิดมันคงไม่จบเร็ว อาจจะต้องขยายเพดานเงินกู้ไว้ ให้มีเม็ดเงินมากขึ้น ที่สำคัญต้องกระตุ้น 1.9 ล้านล้านให้เร็วขึ้น” นายสุวัจน์กล่าว