‘ญาณธิชา’ เสนอ ยกเลิก ม.272 ตัดมือ ส.ว. ซัดเอื้อเผด็จการ ‘ระบอบประยุทธ์’

วันที่ 24 กันยายน 2563 ญาณธิชา บัวเผื่อน ส.ส. เขต 3 จังหวัดจันทบุรี พรรคก้าวไกล อภิปรายญัติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 272 สาระสำคัญคือการตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี โดนระบุว่า จากคำพูดของนักการเมืองท่านหนึ่งที่บอกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อพวกเรา” เมื่อวันที่ 18 พ.ย.61 ตนขอตั้งข้อสังเกต คำว่า “พวกเรา” หมายถึงใครบ้าง แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะนับประชาชนรวมอยู่ด้วย

“มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ 60 ที่ร่างขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอยู่กลุ่มหนึ่ง ได้เสียงในสภามาก่อนการเลือกตั้งมากถึง 250 เสียง เพื่อรอโหวตนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือ ส.ว. ซึ่งหมดล้วนมาจากกรรมการสรรหาที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดย คสช. แถมสรรหาไปสรรหามา ก็ดันสรรหาตัวเองเข้าไปเป็น ส.ว. ด้วย เป็นการนำเอาคนของเผด็จการ 250 คน เข้ามายึดที่นั่งในรัฐสภาไว้ล่วงหน้า เป็นการลดทอนคุณค่าเสียงของประชาชนในการเลือกผู้แทนของตนเอง ลดทอนโอกาสที่ประเทศจะได้รัฐบาลที่มาจากเจตจำนงค์ที่แท้จริงของประชาชน โดยในช่วงก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี มีการกล่าวว่า ส.ว. แต่ละท่านมีวิจารณญาณของตนเอง ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของเผด็จการที่ชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีทางที่ 250 เสียง จะโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ให้สืบทอดอำนาจโดยพร้อมเพรียงกันได้ มีวัยวุฒิและวุฒิภาวะ ผ่านร้อนผ่านหนาวรู้ดีรู้ชั่ว อย่างน้อยก็ต้องมีงดออกเสียงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่แล้วผลการโหวตเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.62 ก็ประจักษ์ชัดเจน ว่า ส.ว. ทั้งสิ้น 249 คน โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมตรี เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ โดยไม่แตกแถว สมฉายา ‘สภาทหารเกณฑ์ที่ซื่อสัตย์ต่อมูลนาย’ ส่วน 1 เสียงที่งดออกเสียง เป็นเพราะ ต้องทำตามมารยาทในหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมเท่านั้นเอง เหตุการณ์นี้จึงยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ส.ว. ทั้ง 250 คน ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่เป็นเพียงไพร่พล ที่คอยรับใช้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น”

ญาณธิชา กล่าวต่อไปว่า วาทกรรม ‘เผด็จการรัฐสภา’ ที่เคยใช้กันยืนยันว่าเป็นของปลอม เพราะคือเสียงข้างมากในสภาที่ประชาชนเลือกมา แต่เหตุการณ์วันที่ 5 มิ.ย. 62 คือ เผด็จการรัฐสภาของจริง อันสืบเนื่องมาจาก มาตรา 272 ที่ทำให้ ส.ว. 250 คน ยกมือเป็นนั่งร้านให้การสืบทอดอำนาจเผด็จการอย่างพร้อมเพรียงกัน และถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ ประชาชนที่อยู่อาศัยในประเทศต้องตกอยู่ในสถานะเหมือนกับคนเช่าประเทศอยู่ เศรษฐกิจ ปากท้อง นับวัน มีแต่จะพังพินาศ ราคาผลผลิตตกต่ำ แรงงานชอกช้ำนับวันรอถูกเลิกจ้าง ยานยนต์ ส่งออก ท่องเที่ยว SMEs ตกต่ำถึงขีดสุด โดยรัฐบาลก็ไม่คิดจะดูแล ทำงานแบบขอไปทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจว่าชีวิตของประชาชนจะเป็นอย่างไร

“แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด 19 ได้วงเงินงบประมาณ 4 แสนล้าน กลับอนุมัติได้เพียง 4 หมื่นกว่าล้าน เบิกจ่ายได้แค่ 400 กว่าล้าน วงเงิน Soft Loan ตั้งไว้ 5 แสนล้าน อนุมัติช่วย SMEs ได้แค่แสนหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท ช่วยได้แค่ 7 หมื่นราย จากที่ตกค้าง 7 แสนกว่าราย รวมไปถึงงบประมาณปี 64 ที่ล่าช้า เพราะความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาล”

นอกจากนี้ ญาณธิชา ยังได้ถามว่าจากผลที่เกิดขึ้น ส.ว.คิดจะรับผิดชอบอย่างไรหรือไม่ และหากเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนสามารถไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไปได้สำเร็จ จะยังกล้าที่จะใช้มาตรา 272 โหวตเลือกคนๆ นี้กลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่

“มาตรา 272 ยังมีกลไกชั่วร้ายซ่อนอยู่อีก นั่นก็คือ การเปิดทางให้คนนอกที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเข้ามาเป็นนายกฯ โดยถ้าสมาชิกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้ง 2 สภา หรือ แค่ 375 เสียง ก็สามารถยื่นขอเสนอนายกคนนอกต่อรัฐสภาได้ แล้วก็ขอแค่ 500 เสียง ก็สามารถเปิดทางให้คนนอก มาเป็น ‘นายกห้าร้อย’ ได้ทันที นี่คืออีกกลไกสามานย์ ที่มาตรา 272 ทิ้งพิษร้ายเอาไว้ ให้กับประชาชน”

ญาณธิชา ยังได้กล่าวอภิปรายทิ้งท้ายว่า ขอเรียกร้องให้เหล่าวุฒิสภาที่เคยเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และบริหารประเทศจนประชาชนคนไทยในวันนี้ ไร้อนาคต หมดสิ้นซึ่งความหวัง และใช้กฎหมายปิดปากประชาชนเมื่อเห็นต่างจากรัฐบาล จงคิดไตร่ตรองตามวุฒิภาวะที่มี ฟังเสียงประชาชนเเละนักศึกษาต่อข้อเรียกร้องนอกรัฐสภา ในการร่วมลงมติตัดอำนาจของตัวพวกท่านเอง ด้วยการยกเลิกมาตรา 272 เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาชนจะให้หรือ อโหสิกรรม เพื่อไม่ให้การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นเงาดำตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิต