‘บิ๊กตู่’ ย้ำต้องลดความเสี่ยงในสิ่งไม่จำเป็น ชี้จะสร้างบ้าน ต้องมีรากฐานความปรองดอง ขอช่วยกันรักษาอัตลักษณ์ประเทศ

‘บิ๊กตู่’ ย้ำต้องลดความเสี่ยงในสิ่งที่ไม่จำเป็น ระบุ จะสร้างบ้าน-ปราสาท ต้องมีรากฐานความปรองดอง สมานฉันท์ที่เข้มแข็งก่อน ขอช่วยกันรักษาอัตลักษณ์ประเทศ รักชาติ รักสงบ สามัคคี ชี้ล้มแล้วต้องลุกให้ไว สู้ไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการประชุมและปาฐกถาพิเศษในการประชุมประจำปี 2563 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เรื่อง ชีวิตวิถีใหม่ประเทศไทยหลังโควิด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้คือเช้าวันจันทร์ เป็นวันที่เริ่มต้นสัปดาห์ที่จะทำงานเพื่อประชาชนทุกคนในประเทศไทยต่อไปให้ดีที่สุด วันนี้ทุกคนรู้ดีว่าเรากำลังเผชิญสถานการณ์ท้าทายอะไรบ้าง สิ่งที่เราไม่เคยเจอมาก่อนคือเรื่องโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก สั่นคลอนทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต และสังคมอย่างรุนแรง ทุกคนในประเทศไทยพยายามทำงานอย่างดีที่สุดและเต็มที่ แม้สถานการณ์จะดีขึ้นมาเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังประมาทไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องเผชิญ โดยเฉพาะความไม่แน่นอน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงตัว เตรียมตัว พร้อมเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทาย โดยเฉพาะสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

“เราจึงจำเป็นต้องลดความเสี่ยงในเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไป และเดินหน้าในเรื่องที่เป็นหลักการสำคัญ เดินหน้าแก้ไขปัญหาในอนาคตให้ได้โดยเร็ว เราต้องคิดไปข้างหน้าเสมอ ต้องทำงานในเชิงรุก ทั้งหมดเป็นไปแผนของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ทั้งหมดถือเป็นเข็มทิศในการเดินทางของประเทศ หากเกิดอะไรขึ้นมาเราสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างทันที การประชุมวันนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถือเป็นเรื่องความเป็นความตายของประเทศในช่วงเวลานี้ ต้องตั้งหลักและวางแนวทาง รับมือวิกฤตวิถีใหม่ โดยปรับตัวเป็นวิถีนิว นอร์มอลให้เร็วที่สุด แม้การพัฒนาประเทศจะดีขึ้นตามลำดับ แต่เรายังต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งปัญหาความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเข้ามา เราจึงต้องระมัดระวังและเตรียมการ

“และหากต้องการให้ประเทศและคนไทยได้รับการยอมรับและปรับอันดับให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เราต้องร่วมมือกัน ต้องทำให้คนไทยทุกคนมีความสุข มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สังคมมีความปรองดองสมานฉันท์ ทุกคนมีที่ยืน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่ว่าเราจะทำอะไรจะก่ออิฐ ก่อหิน หรือถือปูน ขึ้นมาเป็นบ้านเรือนหรือปราสาท จำเป็นต้องวางรากฐานให้แน่น แข็งแรง เราต้องเร่งจำกัดจุดอ่อนที่สำคัญ ทั้งในเชิงโครงสร้าง เร่งสร้างจุดแข็งเดิม และสร้างจุดแข็งใหม่ในอนาคตส่วนตัวคิดว่าจุดแข็งของไทยคือ คนไทยมีความซื่อสัตย์ รักชาติ รักแผ่นดิน ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเราในเรื่องของความรักความสามัคคี เราจำเป็นต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เข้มแข็งมากขึ้น จึงจะไปต่อฐานรากอันอื่นได้ ต้องเติมอิฐ หิน ปูน ทราย เพื่อเพิ่มพื้นฐานทางด้านจิตใจของพวกเราทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การพัฒนาที่เดินมาแล้วครึ่งทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 12 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่มีความสำคัญ ที่จะทำให้การเดินหน้าประเทศต่อไป เป็นก้าวที่มีความมั่นคง หนักแน่น เพราะก้าวแรกๆ เป็นก้าวที่เริ่มสตาร์ท มีแรงส่ง จึงจำเป็นต้องผลักดันแผนในแต่ละก้าวให้มีความก้าวหน้า พวกเราทุกคนถือเป็นมดงาน ที่จะช่วยกันทำทุกอย่างให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นโลกแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล และยังมีโควิด-19 เข้ามาเสริม บวกกับสงครามการค้า ความขัดแย้งในภูมิภาคก็ยังมีอยู่ ความยากจน การสู้รบของบางประเทศ รวมแล้วคือสถานการณณ์ยังไม่ปกติมากนัก โชคดีที่ประเทศไทยและภูมิภาคไม่มีความขัดแย้งมากมาย เราจึงต้องร่วมมือกันทำให้ประเทศสามารถอยู่รอดได้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลทำออกมาถือเป็นการต่อลมหายใจและลดภาระให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อน แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องใช้งบประมาณ ทั้งนี้ คิดว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่จบลงง่ายๆ ยังมีการแพร่ระบาดและติดเชื้อจำนวนมากในหลายๆ ประเทศ ประเทศไทยยังโชคดีที่การแพร่ระบาดยังเป็นศูนย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะสบายใจได้ เพราะพร้อมจะกลับมาได้ทุกนาที ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม แต่ยังเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศ

นอกจากนี้ นายกฯยังชี้แจงถึงการใช้งบประมาณ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและขั้นตอน รวมทั้งการแก้ไขปัญหา ทุกอย่างยึดโยงกันทั้งหมด ขอร้องอย่าไปคิดว่าอันนี้เป็นการเพื่อช่วยคนรวย ช่วยคนจน มันไม่ใช่ รัฐบาลจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบให้ทั่วถึงในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะช่วงเวลาปี 2564 และ 2565 ทุกอย่างเพื่อทำให้ประเทศชาติฟื้นฟูและเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องดีกว่าเดิม วันนี้ทุกประเทศทั่วโลกประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน ไม่ใช่ว่าประเทศไทยแย่เพียงประเทศเดียว หรือบริหารราชการล้มเหลว ดังนั้น การเดินหน้าจากนี้ไปคือ ความร่วมมือที่ทุกคนต้องช่วยกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราต้องคิดกันอยู่เสมอสร้างความเข้มแข็งในประเทศให้ได้ วันนี้ถ้าทุกคนเห็นว่าเราเผชิญหน้าโลกยุคใหม่ โลกเทคโนโลยีดิจิทัล อดีตมีความท้าทายเรื่องความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ ซึ่งความท้าทายในปัจจุบันเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ทั้งนี้ คนที่เข้าไม่ถึงโลกดิจิทัลถือว่าอันตราย เพราะจะเข้าไม่ถึงประโยชน์ในสิ่งที่รัฐบาลทำให้มันก็จบ ดังนั้น ช่วงนี้จะต้องเน้นทรัพยากรในเรื่องนี้ด้วย เพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องให้เขาเรียนรู้ได้โดยเร็ว เราจะได้ก้าวเข้าสู่โลกชีวิตวิถีใหม่ได้โดยเร็ว

“วันนี้ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ไม่อาจทำงานในรูปแบบได้อีกต่อไป ในภาคธุรกิจคิดว่าเขามีความพร้อมและใช้เทคโนโลยีมาตลอด ฉะนั้น ภาครัฐและประชาชนต้องเร่งดำเนินการคู่ไปให้ได้ โดยชีวิตวิถีใหม่ต้องสอดประสานกับสิ่งที่มีอยู่และที่เข้ามาเผชิญหน้า โดยเฉพาะโควิด สิ่งสำคัญเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ต้องมีการปรับ เพราะมีโควิดเข้ามา แต่ต้องปรับแก้ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่สามารถดำเนินการได้เพื่อให้ความสำคัญกรณีพิเศษ พร้อมเยียวยาฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้น เงื่อนไขต่างๆ จะเป็นจุดเปลี่ยนในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่หมุดหมายใหม่ที่ดีในอนาคต” นายกฯระบุ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพมาก ทั้งคน พื้นที่ และอัตลักษณ์ความเป็นไทย เป็นประเทศที่รักสงบ นี่คือความเป็นประเทศไทย เราไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะเป็นพื้นฐานของประเทศ หลายประเทศชื่นชม นิยม ยกย่อง สิ่งสำคัญต้องพัฒนาศักยภาพของประเทศ ตอนนี้ทุกประเทศล้มหมดจากโควิด สงครามการค้า แต่ละประเทศต้องหาทางล้มแล้วลุกให้ไว อย่างน้อยต้องยันขาลุกขึ้นมา ไม่ใช่นอนพังพาบ ยอมรับความตาย ความผิดพลาด มันไม่ใช่ ทุกคนอย่างน้อยต้องลุกขึ้นมาสู้ด้วยกัน ทำด้วยกัน ฉะนั้นเราจะลุกขึ้นอย่างไรให้ไวขึ้น พร้อมรับความสามารถในการบริหารจัดการ ภายใต้วิกฤต ต้านความยากลำบากในวันนี้ให้มากที่สุด และฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว ใครยังไม่เจอต้องเตรียมการ ใครเจอแล้วก็ไปทำอย่างอื่นต่อ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าสถานการณ์โควิดวันนี้ติดกันมากก็จะเป็นอย่างไร หากการท่องเที่ยวไม่เข้ามาจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัว เราต้องรู้เท่าทันอย่างทั้งเป็นวิกฤตและโอกาส จะหาโอกาสจากวิกฤตตรงนั้นได้อย่างไรภายใต้ความรัก ความสามัคคีของพวกเราด้วยกัน ฉะนั้น แนวคิดล้มแล้วลุกให้ไว เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 8 มาแล้ว ทั้งนี้ แผนแม่บทเฉพาะกิจปี 64 ปี 65 เป้าหมายสำคัญคือคนสามารถจะยั่งชีพอยู่ได้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในสถานการณ์ไม่ปกติ วันนี้เหมือนล้มแล้วลุกขึ้นมาและต้องดำรงสภาพให้ได้ให้ดีขึ้น เพื่อรองรับโครงสร้างเศรษกิจใหม่หลังโควิด ไม่อย่างนั้นล้มแต่ก้าวแรกถ้าเราไม่มีหลักการ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกฯกล่าวมาถึงช่วงนี้ได้หยุดไอหลายครั้ง จนต้องกินน้ำพร้อมกับกล่าวว่า ไม่ได้เป็นอะไร เจ็บคอเฉยๆ และตรวจมาตลอด

จากนั้น พล.อ.ประยถทธ์กล่าวในช่วงท้ายว่า 2 ปีข้างหน้าจากนี้ล้มแล้วลุกขึ้นให้ไว เน้นการจ้างงาน เราต้องเน้นกระจายเศรษฐกิจไประดับท้องถิ่น คนไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาที่บางทีอาจไม่ได้จากโรงเรียนอย่างเดียว แต่ได้จากครอบครัว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ สอน อบรมมา นั่นคืออัตลักษณ์ความเป็นคนไทยในเรื่องความเรียบร้อย ความสวยงาม ความงดงามในพิธีต่างๆ ในเรื่องมารยาทอะไรเหล่านี้ ทุกคนในห้องนี้จึงได้รับการอบรมเหมือนกัน เป็นผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ มีความรัก สามัคคี เผื่อแผ่แบ่งปัน สิ่งเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยมายาวนาน นี่คืออัตลักษณ์ศักยภาพของประเทศเราที่ไม่มีประเทศไหนมีเหมือนเรา ต้องรักษาไว้ให้ได้

นายกฯกล่าวว่า เรื่องประกันสังคมได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพัฒนาในหลายด้าน ซึ่งมีกฎหมายกติการองรับทุกประการ แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ก็นำมาใช้ลำบากแต่ทั้งนี้ก็ต้องมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และไม่มีการทุจริต เราต้องพัฒนาคนด้วยจิตใจ ซึ่งจิตใจเป็นอำนาจที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่จับต้องได้ด้วยความสงบสุขของบ้านเมือง ขวัญกำลังใจ ที่จะทำให้ประเทศชาติแน่นแฟ้นมีความรัก ความสามัคคี เมื่อมีปัญหาอะไรเข้ามาก็ร่วมกันเผชิญปัญหาได้ เรื่องจะมีทั้งในวันนี้และในอนาคต