ปักกิ่ง, 11 ก.ย. (ซินหัว) — ในฐานะแบรนด์และแพลตฟอร์มให้บริการด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศรายแรกของจีน ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ ‘เส้นทางสายไหมทางทะเล’ (Silk Road Maritime) มีปริมาณการทำธุรกิจที่เติบโตขึ้น เปิดโอกาสให้องค์กรระดับโลกต่างๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสรรค์สร้างแผนริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (BRI)

ด้วยสถานะและข้อได้เปรียบจากเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกของจีนเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2018 ดำเนินงานในเส้นทางขนส่งทางทะเลมากกว่า 62 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือหลักในเอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, เอเชียตะวันตก, แอฟริกา และยุโรป

จวบจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ปี 2020 แพลตฟอร์มเส้นทางสายไหมทางทะเลให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลแล้วกว่า 3,400 เที่ยว บรรทุกสินค้ารวมมากกว่า 3 ล้านทีอียู (TEU : หน่วยนับสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ความยาว 20 ฟุต)

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเหล่าผู้ประกอบการภายใต้แพลตฟอร์มเส้นทางสายไหมทางทะเลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อรับประกันว่าห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานจะดำเนินงานได้อย่างราบรื่น

ในเดือนมิถุนายน ปริมาณการขนส่งตู้สินค้าของท่าเรือเซี่ยเหมินเพิ่มขึ้นแตะ 1.005 ล้านทีอียู ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับปริมาณการขนส่งในเวลา 1 เดือน

จ้าวหลง รองผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนกล่าวภายในงานการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศเส้นทางสายไหมทางทะเลประจำปี 2020 (Silk Road Maritime International Cooperation Forum) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ว่า เส้นทางสายไหมทางทะเลและแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม การลงทุน เศรษฐกิจ และการค้า รวมถึงช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนข้อได้เปรียบทางทะเลให้กลายมาเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อบรรลุการพัฒนา ผลประโยชน์ และผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

อนึ่ง ภายในงานมีองค์กรอีก 8 แห่งที่ได้รับการรับรองให้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรเส้นทางสายไหมทางทะเล (Silk Road Maritime Alliance) ส่งผลให้ปัจจุบันมีสมาชิกรวมแล้วทั้งสิ้น 183 ราย