“ธนาธร” จี้หยุดสร้างความเกลียดชัง-กระหือรือปรามนักศึกษา แนะเปิดพื้นที่คุยมีเหตุผล-วุฒิภาวะ

นี่คือความท้าทายของสังคม “ธนาธร” จี้หยุดสร้างความเกลียดชัง-กระเหื้ยนกระหือรือปราบปราม นศ. แนะเปิดพื้นที่พูดคุย “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ในที่สาธารณะอย่างมีเหตุผลและวุฒิภาวะ อัด “ประยุทธ์” ไม่จริงใจฟัง-ตอบสนองข้อเรียกร้อง

วันที่ 14 สิงหาคม 2563 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา (เกียกกาย) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของนักศึกษา โดยระบุว่าเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพอันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ อยากฝากถึงกลุ่มคนที่ต้องการปลุกสร้างความเกลียดชังในสังคม ที่ต้องการเรียกร้องให้มีการปราบปรามว่า นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ไม่ใช่ทางออก แต่จะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟให้ลุกโชนขึ้นอีก เราเชื่อว่าสิ่งที่จะเป็นทางออกให้กับสังคม คือ การรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างมีสติ มีเหตุผล แม้สิ่งที่นักศึกษาพูดอาจจะเป็นความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจของสังคมไทย และนี่คือความท้าทายว่าสังคมทั้งสังคมมีวุฒิภาวะพอไหม มีความเป็นผู้ใหญ่พอไหมที่จะรับฟังเรื่องต่างๆ เหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา อย่างมีเหตุ มีผล และมีสติ

นายธนาธร กล่าวว่า เราขอยืนเคียงข้างนักศึกษา ในการต่อสู้เพื่อบรรลุข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นหยุดคุกคามประชาชน ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการยุบสภา ตนคิดว่าสิ่งที่พวกเราต้องทำในวันนี้คือ มองสิ่งที่เขาเรียกร้องด้วยความหวังดี เพราะการที่ไม่ฟังนักศึกษา ไม่เปิดโอกาสให้สังคมมองเห็นทางออกจากความขัดแย้งอย่างไร ไม่นำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยต่างหาก ที่จะนำบ้านเมืองสู่วิกฤตทางตัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจว่าพร้อมจะประนีประนอม พร้อมรับฟังมากเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่พร้อมเลย ข้อเรียกร้องง่ายๆ ที่พวกเขาเรียกร้องไม่เกิดขึ้น สังคมก็จะไม่มีทางออก

“ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า ข้อเรียกร้อง 10 ข้อของนักศึกษานั้น อาจจะทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงด้วยเช่นกันว่า นี่คือความจริงอันกระอักกระอ่วนที่ทุกคนตระหนักรู้อยู่แล้ว แต่ไม่มีใครออกมาพูดในที่สาธารณะ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกๆ นับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความกล้าหาญมาก ตัดเรื่องท่าทีในการนำเสนอออกไป ถ้าเรามองที่เนื้อหาที่นำเสนอ คำถามดังๆ ถึงสังคมคือว่า พร้อมหรือเปล่าที่จะพูดคุยในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยสติ เราเป็นผู้ใหญ่พอไหม เรามีวุฒิภาวะพอหรือเปล่า ผมมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย สังคมควรจะเอาเรื่องพวกนี้มาพูดคุยกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า สิ่งที่สังคมไทยต้องการตอนนี้ คือการเปิดใจรับฟังกันด้วยเหตุด้วยผล สังคมจะหาทางออกร่วมกันสันติได้อย่างไรในเมื่อทางหนึ่งรัฐบาลบอกว่าฟังนักศึกษา ให้มีการตั้ง กมธ.มารับฟัง แต่เวลาเดียวกันกลับไปดำเนินการคุกคาม จับกุมพวกเขา แสดงให้เห็นว่าไม่มีความจริงใจในการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาจริงๆ ดังนั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดเมื่อวานว่าให้หันกลับมาสนใจปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ก็ต้องบอกว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเบ็ดเสร็จด้วย มาตรา 44 มา 5 ปี ก่อนเลือกตั้ง และอยู่ในตำแหน่งมีอำนาจบริหารอีกปีกว่าหลังการเลือกตั้ง ถ้ามันจะสำเร็จ จะพาเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าได้ รับมือกับโควิดได้ทั้งปัญหาสาธารณสุขและเศรษฐกิจ คงทำสำเร็จไปตั้งนานแล้ว

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายกับสังคมอย่างมาก อยากฝากพี่น้องสื่อมวลชนว่า วิธีการที่เราจะหลีกเลี่ยงความรุนแรง หลีกเลี่ยงการพาสังคมไปสู่ทางตัน พี่น้องสื่อมวลชนมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กับสิ่งที่นักศึกษาพูด ทำให้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมที่คุยกันด้วยเหตุผล เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร แต่ทำให้เรากลับมาพูดกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติสัมปัชชัญญะ อย่าให้กลุ่มคนที่กระเหี้ยนกระหือรือ ต้องการเห็นการกำราบปราบปราม กลายเป็นเสียงที่ดังในสังคมได้ เราต้องดึงสติกลับมา สื่อมวลชนช่วยเปิดพื้นที่ให้มากที่สุด จะยิ่งทำให้เสียงที่ต้องการปราบปรามเบาลงได้” นายธนาธร กล่าว

ทั้งนี้ นายธนาธร กล่าวอีกว่า สำหรับที่ห่วงว่าจะนำเหตุการณ์นี้ไปเหมือน 6 ตุลาคม 2519 อยากให้ไปถามกองทัพว่าจะนำเหตุการณ์ไปสู่ที่นั่นหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เราเห็นคือการยุยงปลุกปั่นของกลุ่มคนบางกลุ่มให้เกลียดชังกัน ซึ่งเราจะหยุดยั้งสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ คือการนำเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้มาอยู่บนโต๊ะ พูดคุยกันด้วยเหตุผล การปราบปรามแก้ปัญหาไม่ได้ ประวัติศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว การไม่เผชิญหน้ากับความจริงแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องการผู้ใหญ่ในสังคมที่มีวุฒิภาวะมากพอออกมาพูดเรื่องนี้ สื่อมวลชน นักวิชาการ กลุ่มคนทุกกลุ่มในสังคม ต้องออกมาพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาในที่สาธารณะมากขึ้น