‘ธนาธร’ เตรียมทวงสัญญา ‘บิ๊กแดง’ ปฏิรูปกองทัพ ไร้ความกล้าหาญทำสิ่งที่ถูกต้อง

‘ธนาธร’ เตรียมทวงสัญญา ‘บิ๊กแดง’ ปฏิรูปกองทัพ ผ่านไป 187 วัน ยังไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง จวกไร้ความกล้าหาญทำสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊กทวงคำสัญญาการปฏิรูปกองทัพ จาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า หน้าตาของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? ถ้าอภิรัชต์ คงสมพงษ์ปฏิรูปกองทัพตามสัญญาหลังเหตุกราดยิงโคราช

ผ่านไปแล้ว 187 วัน ประเทศไทยเปลี่ยนไปมากมาย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้นำกองทัพหรือนักการเมืองคนใดทำสำเร็จมาก่อนด้วยมือของเขาเอง

ความสยดสยองและความหดหู่ของการกราดยิงโคราช เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 และความไม่พอใจของประชาชนหลังจากนั้น กดดันให้คุณอภิรัชต์ออกมาแถลงทั้งน้ำตาถึงความจำเป็นของการปฏิรูปกองทัพ เขาให้สัมภาษณ์ว่าจะปฏิรูปกองทัพในขั้นแรกให้เสร็จภายใน 100 วัน โดยมีเรื่องที่จะทำคือการจัดการกับการพาณิชย์ในกองทัพ โดยเฉพาะเรื่องสนามกอล์ฟและโรงแรมสวนสนประดิพัทธ์, สนามมวย, จัดการเรื่องบ้านพักนายพล, การยกเลิกปืนสวัสดิการ, ธุรกิจฟุตบอล และการเอารัดเอาเปรียบทหารชั้นผู้น้อย

ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอาจริง กองทัพมีธุรกิจซ่อนเร้นมากมายที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่มีใครคิดว่าคุณอภิรัชต์จะกล้าแตะขุมทรัพย์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่

สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดย คสช. มีทหารยศนายพลเป็นสมาชิกอยู่ 81 คน ทั้งหมดรายงานทรัพย์สินรวมกันถึง 6,319 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 78 ล้านบาท

ถ้าคนคนหนึ่งรับราชการทั้งชีวิต 40 ปี และได้รับเงินเดือนเดือนละ แสนบาท โดยไม่ใช้เงินเลย จะมีทรัพย์สิน 57 ล้านบาท

การที่นายพลในสภาที่คณะรัฐประหารตั้ง มีทรัพย์สินเฉลี่ยถึงคนละ 78 ล้านบาท จึงเท่ากับว่าทหารชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ มีช่องทางต่างๆ ที่จะหารายได้เข้ากระเป๋าที่มากกว่าเงินเดือน

คุณอภิรัชต์พิสูจน์ว่าทุกคนมองเขาผิด เขาเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ เริ่มจากการเปิดเผยข้อมูลธุรกิจของกองทัพทั้งหมดให้สาธารณชนรับทราบ ตั้งกรรมการร่วม ให้สื่อมวลชนและผู้แทนราษฎรเข้าร่วมสังเกตการณ์และเสนอแนะในการประชุมเรื่องปฏิรูปกองทัพทุกครั้ง ไม่ใช่งุบงิบตั้งกรรมการตรวจสอบภายในแล้วสรุปจบเรื่องอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครต้องรับผิด และไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างใดๆ ในกองทัพ

เขาเอาทรัพย์สินที่ไม่มีใครเคยรับรู้มาก่อนว่าบริหารอย่างไร มาประมูลใหม่อย่างโปร่งใส การประมูลสนามกอล์ฟและโรงแรมสวนสนประดิพัทธ์ ที่ประจวบคีรีขันธ์, สโมสรฟุตบอลของกองทัพทั้งหมด, สนามม้าที่โคราช และสนามมวยลุมพินีใหม่ ทำอย่างโปร่งใส เปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งกันประมูลอย่างเสรี ไม่ใช่ทำอย่างลับๆ ให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมชื่อดังที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพได้สัมปทานไปเงียบๆ

การประมูลทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2,500 ล้านบาทต่อปี เอกชนที่แข่งขันกันประมูลเมื่อชนะไปก็ปรับปรุงรูปแบบการทำงานให้ทันสมัย ดึงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการสนามกอล์ฟและโรงแรมได้มากขึ้นกว่าที่กองทัพทกันเองไปตามมีตามเกิด

ขณะที่สนามมวยและสนามม้าถูกยกระดับให้เป็นสากล คนเข้าชมมากขึ้นและได้รับการยอมระดับโลก ไม่ใช่หลุมดำของธุรกิจสีเทาที่ไร้การตรวจสอบ และไม่ยอมทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิดครั้งใหญ่ นำไปสู่การล็อกดาวน์ประเทศ เกิดความเสียหายทางธุรกิจอย่างมหาศาล

คุณอภิรัชต์ยกเลิกสถานีกองทัพบกช่อง 5 เอาคลื่นความถี่ทั้งหมดที่กองทัพบริหารอยู่คืนให้ กสทช. ไปจัดการใหม่ สร้างรายได้เข้ารัฐอีกปีละ 3 พันล้านบาท รัฐบาลเอาเงินที่ประมูลได้ทั้งหมดไปใช้ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของเด็กไทย โดยการลงทุนในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนทั่วประเทศ

คุณอภิรัชต์แบ่งที่ดินกองทัพออกเป็นสองส่วน ส่วนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับปฏิบัติการของกองทัพ และพื้นที่อื่นๆ ส่วนแรกเขาเก็บไว้ให้กองทัพบริหารจัดการเอง ส่วนหลังเขาคืนให้กระทรวงการคลังนำไปบริหารจัดการทั้งหมด รัฐบาลนำที่ดินส่วนนี้(ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมือง) ไปพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยราคาถูกและสวนสาธารณะให้กับประชาชน การเอาเปรียบทหารชั้นผู้น้อยเรื่องที่อยู่อาศัยหมดไป

การปิดฉากองทัพพาณิชย์ครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จอย่างแท้จริง เมื่อกองทัพไม่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ก็ไม่มีใครวิ่งเต้นเป็นนายพลอีกต่อไป ทหารทั้งชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย หันกลับมาทำภารกิจที่แท้จริงของกองทัพที่หลงลืมกันมานาน นั่นคือการสร้างกองกำลังที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และพร้อมป้องกันประเทศเมื่อถูกรุกราน

เมื่อหมดแรงจูงใจทางด้านเศรษฐกิจ ผู้นำกองทัพหมดความทะเยอทะยานทางการเมือง พวกเขากระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ ว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำรัฐประหารอีกต่อไป เมื่อไม่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดให้ปกป้องให้กองทัพเข้าไปแทรกแซงทางการเมือง

ในระหว่างการปฏิรูปกองทัพ ต้นเดือนมิถุนายน หมู่อาร์ม หรือ ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี ออกมาเปิดเผยปมทุจริตเบี้ยเลี้ยงทหารในหน่วยงานต้นสังกัดของเขา เขาไม่ได้ถูกศาลทหารออกหมายจับฐานหนีราชการ ไม่ถูกปลดออกจากราชการ ไม่ได้กลายเป็น “ตัวประหลาด” ในกองทัพ

คุณอภิรัชต์สอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง และนำผู้ทุจริตมาลงโทษ หมวดอาร์มได้รับการเลื่อนขั้น และกลายเป็นฮีโร่ของสังคม ทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจึงกล้าออกมาพูดถึงการทุจริตและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกองทัพอย่างแพร่หลาย คุณอภิรัชต์ให้ความเป็นธรรมต่อทุกคน ผู้ทุจริตและผู้ที่กระทำเกินกว่าเหตุ ถูกนำมาลงโทษทั้งหมด

สถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ทำให้การเกณฑ์ทหารในเดือนเมษายนเลื่อนออกไป คุณอภิรัชต์ใช้โอกาสนี้พิจารณาการเกณฑ์ทหารใหม่ เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามใดๆ ในอนาคตอันใกล้ และก็ยังเห็นว่าระบบการบังคับเหณฑ์ทหารแบบนี้ไม่มีประสิทธิ์ภาพ เป็นระบบที่ล้าหลัง เขาจึงถือโอกาสนี้ประกาศยกเลิกการเกณฑ์ทหารในปีนี้และในปีหน้าออกไป เพื่อรอผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ ที่เสนอโดยอดีตพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งยังค้างอยู่ในสภา ประหยัดงบประมาณของประเทศไปอีก 2 หมื่นล้านบาท

การเมืองร้อนแรงขึ้นในเดือนกรกฏาคม กลุ่มเยาวชนปลดแอกจัดการชุมนุมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน พ.อ.หญิง นุสรา วรภัทราทร อดีตรองโฆษกกองทัพบก ออกมาปรามาสการชุมนุมว่าเป็น “ม็อบมุ้งมิ้ง” คุณอภิรัชต์แถลงข่าวทันที (โดยไม่มีน้ำตา) ห้ามมิให้บุคลากรของกองทัพคนใด รวมถึงตัวเขาเองด้วย ให้สัมภาษณ์ใดๆ เกี่ยวกับการเมืองอีก

เขากล่าวว่าผู้นำกองทัพต้องอยู่ใต้รัฐบาล และทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายเท่านั้น ไม่ออกมายุ่งเรื่องการบ้านการเมือง นี่คือหลักการสำคัญ ดังนั้นผู้บัญชาการทหารบก หรือทหารชั้นผู้ใหญ่คนไหนก็ตาม จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไม่ได้

ต้นเดือนสิงหาคม ก่อนการเกษียณอายุราชการของเขาเพียงสองเดือน คุณอภิรัชต์เดินทางไปเยี่ยมรุ่นน้องโรงเรียนนายร้อย จปร. และกล่าวกับรุ่นน้องว่า “โรคโควิดเป็นแล้วหาย แต่โรคที่ไม่หายคือโรคเสพติดอำนาจ มีตัวอย่างมากมายที่รุ่นพี่เราทำผิดพลาดมาแล้ว ดังนั้น ต่อจากนี้ไป ทหารต้องรับใช้ประชาชนและปกป้องประชาธิปไตย” นั่นคือการให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายในตำแหน่งของพล.อ.ภิรัชต์ คงสมพงษ์

คุณอภิรัชต์เกษียณอายุในเดือนกันยายนอย่างเงียบๆ แต่ประชาชน, สื่อมวลชนและนักการเมืองต่างแซ่ซ้องสรรเสริญถึงผลงานและความกล้าหาญในช่วงปีราชการสุดท้ายของเขา ทหารรุ่นต่อไปกล่าวถึงเขาเยี่ยงวีรบุรุษว่าเขาคืนเกียรติยความภาคภูมิใจให้แก่อาชีพทหาร เขาก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม

แต่ช่างน่าเสียดาย ทั้งหมดนี้ “ไม่เกิดขึ้นจริง”

187 วันหลังการกราดยิงโคราช ไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจังและจริงใจจากผู้นำกองทัพ

หลังจากเหตุการณ์ คนทั่วประเทศเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพจนแม้แต่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทนทานกระแสไม่ไหว ออกมากล่าวว่า “ต้องสังคายนาให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด” แต่คุณอภิรัชต์ไม่ทำตามสัญญา ขาดความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง และยังคงปั้นแต่งวาทกรรมชังชาติ สาดใส่ประชาชนที่เขาต้องก้มหัวรับใช้ แม้ในช่วงเดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

โอกาสในการปฏิรูปกองทัพที่ดีที่สุดในรอบหลายสิบปีกำลังหลุดลอยไป ชีวิต 30 ชีวิตจะเสียไปโดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

หลายคนอาจลืมเหตุการณ์กราดยิงโคราชไปแล้ว แต่ผมยังไม่ลืม

(14ส.ค.63)กระทรวงกลาโหมจะเข้าชี้แจงในชั้นกรรมาธิการงบประมาณ ผมจะใช้โอกาสนี้ เป็นปากเสียงเพื่อไม่ให้ชีวิต 30 ชีวิตสูญเปล่า ทวงถามถึงความคืบหน้าในการปฏิรูปกองทัพ แล้วจะรายงานให้ประชาชนทราบต่อไป

ประวัติศาสตร์และอนาคตเต็มไปด้วยคำว่า “ถ้า”
“ถ้า” คุณอภิรัชต์ปฏิรูปกองทัพ
“ถ้า” คุณอานนท์ไม่พูดสิ่งที่เขาพูดวันนั้น
“ถ้า” ประชาชนกล้าหาญ ลงทุนลงแรงออกมาต่อสู้ร่วมกันอีกสักครั้ง

หน้าตาอนาคตใหม่ของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?