‘สหรัฐ-จีน’ เจรจา 15 ส.ค.ชี้อนาคต ‘ข้อตกลงการค้า’

United States Trade Representative Robert Lighthizer (C) gestures as he chats with Chinese Vice Premier Liu He (R) as US Treasury Secretary Steven Mnuchin (L) looks on after posing for a "family photo" at the Xijiao Conference Centre in Shanghai on July 31, 2019. - Chinese and US negotiators held talks in Shanghai on July 31 in a bid to bring an end to a year-long trade war, with the meeting overshadowed by a Twitter tirade from President Donald Trump. (Photo by Ng Han Guan / POOL / AFP)

การบรรลุข้อตกลงการค้า “เฟสแรก” ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อกลางเดือน ม.ค. 2020 ได้ยุติความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองลงชั่วคราว ซึ่งคาดว่าสัญญาการสงบศึกดังกล่าวยังคงอยู่ไปจนถึงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนสมการดังกล่าวไปอย่างสิ้นเชิง

วอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ตัวแทนของ 2 ประเทศอย่าง “โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์” ผู้แทนการค้าของสหรัฐ และ “หลิว เหอ” รองนายกรัฐมนตรีของจีน จะประชุมทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในวันที่ 15 ส.ค. 2020 ซึ่งนอกจากวาระการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกแล้ว การประชุมครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐและจีนที่ย่ำแย่ลงอย่างมากจากโควิด-19 อีกทั้งการระบาดยังส่งผลให้ “จีน” คงไม่สามารถบรรลุสัญญาที่ให้ไว้ในข้อตกลงได้

ซึ่งจากข้อตกลง “จีน” ได้ให้สัญญาว่าภายใน 2 ปี จีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย สินค้าภาคการเกษตร, พลังงาน, สินค้าอุตสาหกรรม และภาคบริการ แต่ว่าจากข้อมูลของสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันพบว่า จนถึงปัจจุบัน “จีน” ได้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 40,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

สำหรับสินค้าภาคการเกษตรและพลังงาน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นฐานเสียงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรอยเตอร์สรายงานว่า ในปี 2020 “จีน” ตั้งเป้าหมายว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น 36,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสินค้าพลังงานเพิ่มขึ้น 25,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ที่ผ่านมา “จีน” ได้ซื้อสินค้าเหล่านี้ไปในปริมาณที่น้อยมาก

โดยจีนได้ซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐน้อยกว่า 50% ของเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ และซื้อสินค้าอุตสาหกรรมพลังงานเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งหากพิจารณาตามอัตรานี้แล้ว จีนคงไม่สามารถบรรลุพันธะในข้อตกลงการค้าได้

แม้ว่า “โควิด-19” จะเป็นข้ออ้างที่ดี หากจีนไม่สามารถทำตามข้อสัญญา แต่ว่า “คำถาม” ก็คือ “สหรัฐ” จะยอมรับฟังและยอมผ่อนผันให้ “จีน” ได้หรือไม่

เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ รายงานอ้างอิงที่ปรึกษาของรัฐบาลจีนซึ่งชี้ว่า การประชุมในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ จะชี้ชะตาสถานะของข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งหากสหรัฐกดดันจีนอย่างหนักให้บรรลุข้อตกลง โดยไม่คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ก็อาจนำไปสู่การฉีกข้อตกลงเฟสแรกได้

และจากความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงต่ำสุดในรอบหลาย 10 ปี ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า “สหรัฐ” จะไม่ยอมผ่อนผัน และกดดันจีนอย่างหนัก เพื่อให้ทำตามข้อตกลง ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาอย่างหนัก และรัฐบาลสหรัฐก็พุ่งเป้ากล่าวหาว่า “จีน” เป็นสาเหตุของการปล่อยให้เชื้อไวรัสระบาดในสหรัฐ

ซึ่งสร้างกระแสต่อต้านจีนให้สูงขึ้นในรัฐบาล จนทำให้สายเหยี่ยวที่นำโดย “ไมค์ ปอมเปโอ” ก้าวขึ้นมากุมการชี้นำนโยบายต่างประเทศ และออกมาตรการต่าง ๆ อย่างการสั่งปิดสถานกงสุลของจีนที่ฮูสตัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือการกดดัน “ติ๊กต๊อก” แอปสยอดนิยมของจีน อันสร้างความไม่พอใจให้จีนอย่างมาก เป็นต้น

ทำให้มีการวิเคราะห์คาดการณ์ว่า แนวทางของ “กลุ่มสายเหยี่ยว” ที่ปัจจุบันมีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายต่างประเทศ ก็จะถูกส่งผ่านไปยังทีมเจรจาของ “โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์” ที่แม้ว่าจะพยายามรักษาข้อตกลงเอาไว้ แต่ก็คงมิอาจต้านแรงกดดันจากสายเหยี่ยวในรัฐบาลสหรัฐได้