‘ศ.ดร.ธเนศ’ เลคเชอร์! ทำไม ‘ชาติเป็นของปชช.’ ไม่เคยเกิดในไทย ชี้ คนขึงขัง ไม่ศึกษา ใช้แต่ความรู้สึก

‘ศ.ดร.ธเนศ’ เลคเชอร์! ทำไม ‘ชาติเป็นของปชช.’ ไม่เคยเกิดในไทย ชี้ คนขึงขัง ไม่ศึกษา ใช้แต่ความรู้สึก

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม สืบเนื่องกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. กล่าวกับนักเรียนนายร้อยว่า โควิดเป็นแล้วหาย แต่ที่รักษาไม่หายคือโรคชังชาติ

ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวกับ ‘มติชน’ ว่า ที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องชาติ และลัทธิชาตินิยม ถูกกำหนดและอธิบายโดยผู้นำของรัฐ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาจนถึงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดลัทธิชาตินิยมแบบหลวงวิจิตรวาทการ ที่ล้วนเป็นคนจากฝ่ายรัฐที่กำหนดนิยามความหมาย คำว่าชาติ โดยทั่วไปกำหนดจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นๆ หรือในสังคมที่รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อนเป็นประเทศ ชนชาติต่างๆ อยู่กันกระจัดกระจาย เช่น ม้ง ลาว ลื้อ มอญ เขมร มีรัฐของตัวเอง ส่วนประเทศที่เป็นรัฐสมัยใหม่ คือรัฐชาติ เป็นการรวมทุกเชื้อชาติเข้ามาแล้วตั้งเป็นประเทศ อย่างสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และอื่นๆ รวมหลายร้อยเผ่าพันธุ์เข้ามา ตั้งชื่อกลางๆ ว่าเป็น ‘สหรัฐ’ หรือ ‘สหราชอาณาจักร’ เครือจักรภพ เป็นต้น กล่าวคือ ไม่ได้มีเชื้อชาติเดียว ในขณะที่ประเทศไทย ตอกย้ำตั้งแต่เริ่มเขียนประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย ให้ความหมายความเป็นไทย และชื่อ ‘คนไทย’ ให้เป็นอันเดียวกันทั้งชื่อรัฐ ชาติ ภาษา ต่อมา ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จากสยาม กลายเป็น ‘ประเทศไทย’ ก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นการนำเชื้อชาติมาเป็นยี่ห้อประทับให้ประเทศว่า ‘ประเทศนี้เป็นของคนเชื้อชาติไทย’ แนวคิดนี้ถูกส่งทอดต่อมาและเข้มข้นรุนแรงมากในกลุ่ม ‘ข้าราชการ’ โดยเฉพาะ ‘ทหาร’ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ ทหารจึงต้องมีความกระจ่างในนิยามว่า ‘ชาติคืออะไร’ โดยความคิดที่ว่า ‘ชาติเป็นของประชาชน’ ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย

สิ่งที่ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ และศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ พูดมาตลอดในประเด็น ‘คนไทยมาจากไหน?’ นั้น เป็นที่สังเกตว่าประวัติศาสตร์ประเทศอื่น มีน้อยมากที่จะถามว่า คนอเมริกันมาจากไหน ? คนอังกฤษมาจากไหน? คนจีนมาจากไหน? นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องถาม เพราะหาคำตอบไปก็ร้อยพ่อพันแม่ เช่น พอเรียกเป็นจีน หมายถึงอาณาจักร แต่แน่นอนว่า ‘ฮั่น’ เป็นกลุ่มคนจำนวนมากในจีนซึ่งเป็นที่รู้กัน

“สำหรับประเทศไทย การที่เจ้าหน้าที่รัฐพยายามตอกย้ำตลอดเวลาว่าต้องเป็นไทย มันสะท้อนสิ่งที่ตรงข้ามกับที่อื่น แสดงว่าความเป็นชาติแบบที่เขาใช้กันนั้นสั่นคลอน ไม่ขลังเหมือนยุคแรกเริ่ม เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความรู้ก็เปลี่ยน อย่างคนไทยมาจากเขาอัลไตก็ไม่จริง คนไทยมาจากน่านเจ้าก็ไม่จริง จีนส่งคนมาอธิบายว่ามันคนละเรื่องกัน คนละชนชาติอย่าอ้างว่าน่านเจ้าไล่คนไทยมา เขาไม่ได้ไล่ คำนิยามเรื่องเชื้อชาติไทยในตอนนร้เบาบางมากในแง่มานุษยวิทยา โบราณคดี พันธุกรรม ดีเอ็นเอต่างๆก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่มี เพราะฉะนั้นที่ออกมาเรียกร้องความเป็นไทย มีการแสดงออกอย่างขึงขัง คนพูดไม่ได้ศึกษา แต่พูดจากความรู้สึก ว่ารุ่นปู่ รุ่นพ่อ พูดกันมาอย่างนี้ แล้วรุ่นนี้ทำไมไม่เชื่อ นี่คือปัญหาว่าความรู้เรื่องประเทศของเรา ชนชาติของเรา มันต้องพัฒนา จะเรียนกี่เวอร์ชั่น จะต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่ต้องมองสู่ความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และมองอนาคตด้วยว่าคนจะติดต่อแลกเปลี่ยน เข้าถึงกันมากกว่าสมัยก่อนอีกเยอะ จนกระทั่งเป็นคนเชื้อชาติอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะส่งไลน์ เล่นเหซบุ๊กเชื่อมต่อถึงกันหมด เส้นแบ่งประเทศในอนาคตยังจะมีปัญหาว่าต่อไปจะยังศักดิ์สิทธิ์ไหม ในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ทำลายความเป็นเฉพาะส่วนของตัวเอง ไม่ว่าจะเชื้อชาติ สีผิว ความเชื่อ ถูกก้าวข้ามพ้นยี่ห้อ เส้นแบ่ง รอยสัก รอยหยักไปแล้ว นี่คืออนาคตที่จะเกิด บรรดาคนมีอำนาจทั้งหลายที่จะส่งให้ลูกหลานอยู่ต่อไป ต้องคิดโดยความเป็นจริงว่าเราอยู่ในยุคที่ไร้พรมแดนในแทบทุกเรื่อง” ศ.ดร.ธเนศ กล่าว

ศ.ดร.ธเนศ กล่าวอีกว่า สำหรับการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ตนติดตามผ่านช่องทางออนไลน์ แต่วันก่อนลูกสาวขอไปร่วมชุมนุม ตนก็ต้องยอม เพราะสมัยตนเป็นนักศึกษา ตนก็ไป ซ้ำยังไม่ได้บอกพ่อแม่ จึงขับรถไปส่งลูกสาวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย