“เพื่อไทย” ย้ำต้องเร่งเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จใน 1ปี  ขอ ส.ว. อย่ายึดติดอำนาจ ร่วมหนุนแก้ด้วย

“เพื่อไทย” ระบุ ต้องเร่งเดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี  พร้อมขอ ส.ว. อย่ายึดติดอำนาจ ร่วมหนุนแก้รัฐธรรมนูญ

3 ส.ค. 63 ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วย กับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ ทำให้เงื่อนไขในการแก้ไขรัฐธรรมนูญง่ายขึ้น

พร้อมทั้งเห็นว่าเงื่อนเวลาที่ทำอยู่นั้นอาจจะช้าเกินไป เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันจากการประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ /ภาวะการเสื่อมศรัทธาในรัฐบาลและภาวะที่เกิดขึ้นในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ หากต้องการผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศไทยนั้นต้องมีเงื่อนเวลาที่เร็วกว่านี้ โดยมองว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถย่นระยะเวลาให้เร็วกว่านี้ได้

ดังนั้นทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเห็นว่าระยะเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญนั้นไม่ควรจะเกิน 7-8 เดือน รวมเบ็ดเสร็จไม่เกิน 1 ปี เพราะมองว่า ในการยกร่างนั้นมีรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นต้นแบบอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากมีส.ส.ร.แล้วในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จึงไม่ควรเกิด 7 -8 เดือน

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.ออกมาคัดค้านการตั้งส.ส.ร.เพราะเปรียบเสมือนเป็นการตีเช็คเปล่านั้นส่วนตัวมองว่า ที่ผ่านมามีการตีเช็คเปล่าโดยที่ไม่มีการยึดโยงกับประชาชนมาจำนวนมากหลายเหตุการณ์ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา / การให้มีส.ว.ลากตั้ง 250 คน เหล่านี้คือการตีเช็คเปล่าของจริงและคนที่คิดเช่นนี้คือคนที่มองไม่เห็นความสำคัญของประชาชน แต่การตั้งส.ส.ร.จะมาจากประชาชนเปรียบเสมือนการตีเช็คของจริงเต็มจำนวน ในการกำหนดทิศทางของประเทศ

ด้าน นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงาน พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมของคณะกรรมาธิการนั้นมีการหารือกันในเรื่องการตั้งส.ส.ร.และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกสังคมกล่าวหาว่าร่างโดยคณะรัฐประหารแม้จะมีการประชามติ แต่ก็เป็นประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม

ดังนั้นความขัดแย้งแตกแยกทั้งหลาย เกิดจากกติกาใหญ่ที่จะใช้กับทุกคนนั้นไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ดังนั้นหากทำให้กติกาดังกล่าวมาจากประชาชนเลือกตั้งกันมา แล้วนำมายกร่างเสร็จกลับไปประชามติโดยประชาชน /หากเห็นชอบก็จะเป็นกติกาแรกของประเทศไทย โดยมองว่าทางออกดังกล่าวนี้ เป็นกระบวนการวิธีการที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม

ขณะเดียวกันวิธีการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้นั้น ควรจะแก้ไขให้เป็นไปตามเสียงข้างมากของรัฐสภา แม้จะมีส.ว.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งถึง 250 คนก็ตาม ดังนั้น 2 อย่างนี้ต้องเดินไปด้วยกัน