“แอตต้า” ชี้จีนรอเที่ยวไทยอื้อ แนะปรับแพคเกจ “กำลังใจ” กระจายเที่ยวไปหลายๆจว.

แอตต้า” ชี้จีนรอเที่ยวไทยอื้อ แนะปรับแพคเกจ “กำลังใจ” กระจายเที่ยวไปหลายๆ จว.

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวในการเสวนาเรื่อง ไทยพร้อมแล้วกับการท่องเที่ยววิถีใหม่ ในงานสัมมนา ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า จัดโดย หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานครว่า ช่วงที่ประเทศจีนมีปัญหา หลายประเทศไม่ต้อนรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน แต่ไทยเป็นประเทศที่ต้อนรับการเดินทางมาตลอด ไทยและจีนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากเปิดน่านฟ้ารับต่างชาติกลับมาเที่ยวในประเทศได้ เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาเร็วอย่างแน่นอน โดยที่ไทยไม่ต้องทำการตลาดมากมายด้วย เพราะจีนมีความรู้สึกที่ดีกับประเทศไทยมากและต้องการเข้ามาอยู่แล้ว แต่ไทยต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ออกสู่สายตาต่างชาติมากที่สุด

นายสุรวัช กล่าวว่า อยากให้มองเห็นว่าการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย อาทิ ภูเก็ต จึงอยากให้ทำประชาพิจารณ์และสอบถามความสมัครใจของคนในพื้นที่ว่าต้องการให้ต่างชาติเข้ามาหรือไม่ หากยอมรับก็ต้องยอมให้เข้ามา และช่วยกันดูแลทั้งจากรัฐและผู้ประกอบการในพื้นที่เอง ตอนนี้มองในเรื่องของเศรษฐกิจ ตัวรายได้ในภาคท่องเที่ยวที่หายไปกว่า 2 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากต่างชาติใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ที่ 50,000 บาทต่อหัว ถือเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายมากสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ถามว่าเม็ดเงินจำนวน 2 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ในภาคการท่องเที่ยว เข้าสู่ประเทศไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ เพราะมีปัญหาในเรื่องการมีผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทย และรายได้จากท่องเที่ยวไทยก็เข้าสู่ต่างชาติ รวมถึงมีการจองโรงแรมผ่านระบบที่ไม่ได้เป็นของไทย ทำให้เม็ดเงินที่ควรเป็นรายได้เข้าประเทศไทย ไหลไปอยู่ในมือต่างชาติบางราย จึงอยากให้หาทางทำให้เงินที่เป็นรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเข้าสู่มือของคนไทยมากที่สุด

“ภาพรวมสถานการณ์เที่ยวในประเทศ ขณะนี้ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวที่มีอยู่ประมาณ 13,000 ราย มีความน่าเป็นห่วงมาก เพราะเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) รวมถึงเมื่อกระตุ้นให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ก็ยังไม่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการเดินทาง ทำให้หากผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในระยะถัดไปก็น่ากังวลในส่วนของการกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้งของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะไม่มีผู้ประกอบการทัวร์นำเที่ยวอยู่ให้บริการได้ เพราะต้องเลิกกิจการไป” นายสุรวัช กล่าว

นายสุรวัช กล่าวว่า การทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น จะต้องนำเรื่องการกระตุ้นตลาดไทยเที่ยวไทยเข้ามาเติมเต็ม แต่จะต้องทำอย่างไร โดยจะต้องหาวิธีทำให้เหมาะสมและถูกต้อง เพราะภาคการท่องเที่ยว หากเปิดเสรีจะเสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ เนื่องจากการท่องเที่ยวไม่เหมือนกับการค้าที่สามารถเปิดเสรีได้ จะต้องหาทางทำให้เม็ดเงินที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศไทยให้มากที่สุด คนไทยจะต้องเริ่มคิดและเห็นแก่ชาติให้มากขึ้น เพราะหากคิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง จะทำให้ชาติไม่ได้ประโยชน์แก่ชาติอย่างแท้จริง

“การพบผู้ติดเชื้อในจังหวัดระยอง ถือว่ามาถูกเวลา เพราะทำให้รัฐจะต้องกลับมาเตรียมรับมืออีกครั้ง หากมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ว่าจะรับมือและปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่เมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แล้วมาทำการปิดเมืองในอีกหลายจังหวัด ซึ่งหากทำอย่างนั้น จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมและระบบเศรษฐกิจ” นายสุรวัช กล่าว

นายสุรวัช กล่าวว่า สำหรับการจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (แทรเวล บับเบิล) ที่มีความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่ำ ขณะนี้มองว่าไม่อยากให้ใช้คำนี้ เพราะทำให้ประชาชนมีมุมมองเชิงลบต่อการกลับมาเดินทางท่องเที่ยวและเปิดรับต่างชาติอีกครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าในอดีตมีต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้แม้ยังมีต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่อานิสงส์เชิงบวกดูยังค่อนข้างน้อย เพราะต่างชาติที่มีอยู่ไม่ได้มากเท่าเดิม การใช้จ่ายก็ไม่ได้มีมากเท่าเดิม นอกจากนี้ ยังกังวลในเรื่องของแรงงานในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคโรงแรมที่ขณะนี้ยังมีการช่วยเหลือของประกันสังคม เพื่อช่วยไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงาน แต่ในอนาคตอันใกล้นี้หากมาตรการช่วยเหลือของประกันสังคมหมดไป จะทำให้เกิดการตกงานมากขึ้นในปริมาณที่สูงกว่าเดิม

นายสุรวัช กล่าวว่า ในส่วนของข้อเสนอแนะภาครัฐมองว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยมีความสำคัญ โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ที่ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ได้ดีมาก อยากให้หาทางช่วยเหลือให้คนเหล่านี้ให้อยู่ได้ ขณะที่แพคเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐทั้งกำลังใจและเราเที่ยวด้วย สำหรับแพคเกจกำลังใจ พบว่าเอกชนเข้าร่วมโครงการค่อนข้างน้อย เนื่องจากมองว่าต้นทุนที่ใช้ไปไม่คุ้มกับที่ได้มา รวมถึงมีการได้ยินเรื่องการฮั้วระหว่างคนบางกลุ่ม และการไม่กระจายตัวของการท่องเที่ยวไปในหลายๆ จังหวัด และการใช้บริการกระจุกตัวอยู่ในบริษัทบางบริษัทเท่านั้น จึงอยากให้มีการจำกัดโควต้าผู้ใช้บริการ เพื่อให้เกิดการใช้บริการกระจายไปในหลายบริษัทมากขึ้น

“เชื่อว่าทั้ง 2 แพคเกจที่ใช้งบประมาณรวมกว่า 22,400 ล้านบาท จะมีงบประมาณเหลืออย่างแน่นอน โดยอยากให้จัดทำแพคเกจออกมาในรูปแบบการเน้นให้เกิดการเที่ยวผ่านบริษัททัวร์รูปแบบใหม่ ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่ม แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถใช้บริการได้ด้วย” นายสุรวัช กล่าว