เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกระฐมนตรี นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยมีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ทั้งนี้ นายวรวุฒิ กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเกาะภูเก็ต ภาครัฐควรทำความเข้าใจบริบทและโครงสร้างเศรษฐกิจของภูเก็ต ที่การให้การช่วยเหลืออาจต้องมีลักษณะเฉพาะและตรงจุด เพื่อให้ จ.ภูเก็ตกลับมามีศักยภาพในการทำรายได้เข้าประเทศต่อไป
ทั้งนี้ หนังสือที่ยื่นถึงนายกรัฐมนตรี มีข้อเสนอ 7 วาระกู้วิกฤตภูเก็ตร้าง ทุกวันนี้ชาวภูเก็ตและแรงงานภาคการท่องเที่ยวล้านกว่าคนที่เดิมพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นรายได้ วันนี้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปล่อยร้างต่อไปแบบนี้ ภูเก็ตตายสนิทแน่ !” โดยข้อเสนอทั้ง 7 ข้อ คือ 1.ให้กระทรวงการคลัง ยกเว้นภาษีเงินได้แก่ธุรกิจภาคบริการในภูเก็ต 2 ปี รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ และให้เริ่มในปีนี้เลย 2.ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิด-19 ทบทวนงบลงทุน 400,000 ล้านบาท นำไปซ่อมและพัฒนา จ.ภูเก็ต เพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต 3.ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสร้างสมดุล จ.ภูเก็ต เป็นเมืองธุรกิจหลากหลายไม่พึ่งพาท่องเที่ยวต่างประเทศหนักเกินไป
4.แหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไม่ตอบโจทย์ธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก-กลาง 5.ให้จ.ภูเก็ตมีการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ 6.ชูภูเก็ตเป็น”หลุมหลบภัย” ฟื้นภาคโรงแรมภูเก็ตเป็นแหล่ง Quarantine ชูเป็นเมืองใช้ชีวิตสบายๆแบบปลอดภัย 7.ชูไอเดีย Work From Thailand ให้ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงและปลอดโรค ใช้จ.ภูเก็ตเป็นที่ทำงานระยะยาว สำหรับมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของชาวต่างประเทศเพื่อเดินทางกลับออกมาใหม่ที่เรียกว่าวีซ่ารัน ที่เป็นความเสี่ยงที่เขาเหล่านั้น อาจรับเชื้อกลับเข้ามาระบาดในประเทศ ทั้งที่ยังไม่ใช่นโยบายของกระทรวงการต่างประเทศ จ.ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง และคนภูเก็ตขอแค่โอกาสที่จะได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อเราจะได้กลับมาสร้างเศรษฐกิจ สร้างงาน และเป็นแหล่งนำรายได้เข้าประเทศไทยเช่นเดิม