‘พิพัฒน์’ รับหากโควิดไม่ ‘แทรเวล บับเบิล’ ไม่เกิด ทำโรงแรมไทยปิดถาวร 60% กระตุ้นเที่ยวในประเทศอืด

พิพัฒน์รับหากโควิดไม่แทรเวล บับเบิลไม่เกิด ทำโรงแรมไทยปิดถาวร 60% กระตุ้นเที่ยวในประเทศอืด

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยในปี2563 ประเมินว่าจะสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 6-7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) จากปี 2562 ภาคท่องเที่ยวคิดเป็น 18% ของจีดีพี โดยจะเน้นกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายรายได้รวมอยู่ที่1.23 ล้านล้านบาท โดยขณะนี้ได้ประเมินว่า จะมีผู้ประกอบการโรงแรมประมาณ 60% ทั่วประเทศ ที่อาจต้องปิดกิจการลงอย่างถาวร หากรัฐบาลยังไม่สามารถตัดสินใจเปิดประเทศและอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา หรือการเริ่มต้นมาตรการจับคู่ประเทศเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน (แทรเวล บับเบิล) แบบไม่กักตัว 14 วัน แต่คัดเลือกเฉพาะประเทศที่ปลอดเชื้อต่อเนื่องเท่านั้น ขณะเดียวกัน ประเมินว่าคาดการณ์ว่าตัวเลขตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะหายไปมากกว่า 60% หากเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาทั้งหมดกว่า 39.8 ล้านคน โดยแม้จะเปิดรับต่างชาติในช่วง 4 เดือนสุดท้าย (เดือนกันยายนธันวาคม) ก็ยังประเมินว่าคงไม่ได้มีรายได้จากต่างชาติเข้ามามากนัก สูงสุดคงไม่เกิน 2 แสนล้านบาท เพราะยังไม่ได้เปิดแบบปกติ ซึ่งหากเปิดรับต่างชาติแล้วจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.23 ล้านล้านบาทแน่นอน แต่หากไม่เปิดคงทำได้ยากมาก

ยอมรับว่าการทำแทรเวล บับเบิล ถือเป็นเรื่องที่ยังดูยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการแพร่ระบาดของไวโควิด-19 ระลอก 2 อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเลือกระหว่างความปลอดภัยของประชาชนในประเทศ หรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะการปิดประเทศไปเรื่อยๆ ถือเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสและดีต่อคนไทยก็จริงแต่หากมองในมุมเศรษฐกิจ เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา รายได้ก็หายไปตาม ซึ่งแรงงานที่ไม่มีงานทำและตกงานเหล่านี้ หากมีความเดือดร้อนต่อเนื่อง รัฐบาลจะนำเงินจากที่ใดมาช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ รวมถึงหากเศรษฐกิจทรุดตัวลงไปลึกมากกว่าเดิม จะมีโอกาสฟื้นหรือรอดกลับมาหรือได้อย่างใด จึงมองว่าอยากให้พิจารณาทำการเปิดประเทศเพิ่มเติม เนื่องจากหากจะอาศัยเพียงการกระตุ้นตลาดไทยเที่ยวไทย เป็นตัวกระชากรายได้เพิ่มขึ้นก็คงพยายามทำให้ได้ตามเป้าเท่านั้น แต่เป็นไปได้ยากมากนายพิพัฒน์กล่าว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับแนวทางการจับคู่เดินทางท่องเที่ยวประเทศระหว่างกัน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้เตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฝ่ายเศรษฐกิจในรอบต่อไป เพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวนาน 14 วัน แต่ควบคุมการเดินทางผ่านการจำกัดพื้นที่แทน โดยมีพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่องใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ ทั้งพื้นที่ในเกาะภูเก็ต เฉพาะเกาะพีพี .กระบี่ และเฉพาะเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และเกาะนางยวน .สุราษฎร์ธานี โดยโปรแกรมท่องเที่ยวจะถูกจำกัดให้อยู่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่เกาะต่างๆ เดินทางข้ามจังหวัดได้ อาทิ หากเลือกมาเที่ยวภูเก็ต ต้องอยู่ในภูเก็ตนาน 14 วัน ระหว่างนั้นไม่สามารถเดินทางไปเกาะพีพีได้ หากเลือกมาเที่ยว .สุราษฎร์ธานี สามารถเดินทางระหว่าง 4 เกาะที่กำหนดได้ แต่ไม่สามารถข้ามไปเกาะอื่นๆ โดยหากพักในพื้นที่ดังกล่าวครบ 14 วันแล้ว จะต้องทำการตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง หลังจากนั้น หากมีความต้องการที่จะเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นของประเทศ ก็สามารถเดินทางต่อไปได้ โดยเตรียมพิจารณาพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมสำหรับระยะที่ 2 ในการรองรับมาตรการแทรเวล บับเบิล อาทิ เกาะช้าง .ตราด, เกาะเสม็ด .ระยอง และ .หาดใหญ่ .สงขลา

นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการโรงแรมไทย ที่เรียกร้องให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ ช่วยเจรจากับสำนักประกันสังคม ให้ขยายเวลาการจ่ายเงินเยียวยาแรงงาน 62% สมทบให้กับผู้ประกอบการอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งตรงนี้จะนำเรื่องหารือกับสำนักประกันสังคมต่อไป แต่แนวโน้มดูเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากมาตรการไม่สามารถต่อเวลาไปเรื่อยๆ ได้ นอกจากนี้ พบว่ามีความต้องการเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยของต่างชาติหลายประเทศ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐจะพิจารณา และอนุญาตให้เดินทางเข้ามาได้หรือไม่อย่างไร อาทิ ช่วงปลายปี ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป หรือสหรัฐ หนีหนาวเข้ามาเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง ถือเป็นความท้าทายในการรับมือต่อไป