ร้องผู้ตรวจฯสอบทุจริตสกสค.-ปลด961พนง. เลิกจ้างไม่ชอบ จ่อแจ้งความไม่จ่ายเงินเดือน

ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน สอบทุจริตสกสค. ปลดพนักงาน 961 คน ชี้คำสั่งเลิกจ้างไม่ชอบ เตรียมแจ้งความเอาผิดเหตุยังไม่จ่ายค่าแรงเดือนมิ.ย.

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายวิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ ผู้แทนเครือข่ายปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดิน นายนิวัติไชย แจ้งไพร ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าคุรุสภา นายอารีย์ สืบวงค์ ประธานที่ปรึกษาสหภาพแรงงานองค์การค้าคุรุสภา อดีตพนักงานโรงพิมพ์คุรุสภา เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการของคณะกรรมการองค์การค้าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ หรือสกสค. และคณะกรรมการบริหารโรงพิมพ์คุรุสภาว่ามีการบริหารงานที่ไม่โปรงใส สร้างความเสียหาย จนส่งผลให้มีการปลดพนักงานสกสค. 961 คน รวมทั้งตรวจสอบคำว่าคำสั่งเลิกจ้างพนักงานดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

โดยนายวิวัฒน์ชัย กล่าวว่า ก่อนที่บอร์ดสกสค.จะมีมติเลิกจ้างพนักงานเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการกศน. ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการองค์การค้าของสกสค. ได้ลงนามคำสั่งสกสค.ให้พนักงานหยุดงานเนื่องจากสถานการณ์โควิดรวม 4 ฉบับ โดยไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานเลย จึงเห็นว่าคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวไม่ชอบกฎหมาย และนายดิศกุล เป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่ผอ.สกสค. ไม่น่าจะมีอำนาจลงนามเลิกจ้างพนักงานได้ ขณะเดียวกันเหตุผลในการเลิกจ้างที่อ้างว่าขาดทุนต่อเนื่องนั้น จากข้อมูลพบว่า การขาดทุนเกิดจากอดีตผู้บริหารของกระทรวงศึกษาตั้งแต่รมต. ปลัดกระทรวง บอร์ดสกสค.มีการไปกู้เงินเพื่อมาลงทุนในบริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวชั่น กรุ๊ป จำกัด รวมทั้งไปจ้างพิมพ์หนังสือที่โรงพิมพ์ในจ.นครราชสีมา มูลค่า 1400 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้มีการดำเนินการเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีการเรียกคืนค่าเสียหาย กลับมาลงที่พนักงาน

“ เท่าที่ได้ข้อมูลองค์การค้าคุรุสภามีรายได้ปีละ 2 พันล้านบาทจะขาดทุนได้อย่างไร แต่วันนี้กลับมาไล่พนักงานออก ผมมองว่ามีเจตนาซ่อนเร้น พื้นที่คุรุสภามี 52 ไร่ มูลค่าไร่ละ 100 ล้านบาท ทราบว่าเขาต้องการเอาโรงพิมพ์ลาดพร้าวย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเพราะจะใช้ที่ดินเพื่อสร้างคอมเพล็กซ์ ซึ่งถ้ามีการย้ายออกจริงรับรองว่าไม่เกิน 6 เดือนอาคารที่ลาดพร้าวจะถูกทุบทิ้งแล้วดำเนินการสร้างคอมเพล็กซ์ทันที” กล่าวและว่าจึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบการบริหารของผู้บริหารสกสค. เส้นทางการเงินของผู้บริหาร บัญชีรายรับ-จ่ายของโรงพิมพ์ ย้อนหลัง 10 ปี เพื่อให้ทราบว่า การขาดทุนดังกล่าวเกิดจากเหตุใด และคำสั่งเลิกจ้างพนักงานชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ด้านนายอารีย์ กล่าวว่า ตามคำสั่งเลิกจ้างให้มีผล‪ในวันที่ 1 ส‬ิงหาคม แต่ขณะนี้เงินเดือนพนักงานของเดือนมิ.ย. ยังไม่มีใครได้รับทางสหภาพมีการทวงถามก็อ้างว่าให้ไปรับเงินจากสำนักงานประกันสังคม แต่ทางประกันสังคมก็แจ้งว่าไม่สามารถจ่ายให้ได้ จากนั้นผู้บริหารก็เรียกพนักงานไปคุยระบุว่าจะให้เงินเยียวยาเลิกจ้าง 1 แสนบาท โดยไม่มีการพูดถึงสวัสดิการด้านอื่น ๆ ซึ่งเราไม่ยอมรับและถ้าภายในสัปดาห์นี้ไม่มีการจ่ายเงินเดือนของเดือนมิถุนายนทางพนักงานก็จะมีการฟ้องอาญาผู้บริหาร

ทั้งนี้ทางพนักงานต้องการให้มีการทบทวนมติ และยกเลิกคำสั่งเลิกจ้าง เพราะคำสั่งดังกล่าวออกมาขัดต่อพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 ข้อบังคับองค์การค้า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงาน แล้วมาหารือร่วมกันว่าหนี้สกสค.เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าบอกว่ามาจากปัญหามีคนมาก ก็ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ไม่ใช่เอาหนี้เป็นตัวตั้ง แล้วล้มกระดานเลิกจ้างคนทั้งหมด และค่อยจ้างคนเข้ามาใหม่100 คน ซึ่งองค์การค้าฯมีงานพิมพ์ อยู่ประมาณ 3-4 พันล้านบาท การทำเช่นนี้แสดงถึงเจตนาว่าต้องการนำงานไปจ้างคนนอกพิมพ์ นอกจากนี้กระแสข่าวออกมาว่าจะดำเนินการย้ายโรงพิมพ์ลาดพร้าวไปอยู่ที่ใหม่ เพื่อขายที่ดิน ซึ่งถ้าผู้บริหารคิดว่าสิ่งที่ทำถูกนั้น ทางสหภาพก็คงไม่คาดหวัง และคงต้องเดินหน้าดำเนินคดีอาญากัน

“เราไม่ข้ามไปถึงเรื่องเงินเยียวยา เพราะเราต้องการให้ทบทวนมติและยกเลิกคำสั่งเลิกจ้าง ผู้บริหารบอกว่าการเลิกจ้างต้องจ่ายเงินเยียวยา 2 พันล้าน เอาเงินนี้มาฟื้นฟูซื้อเครื่องจักรใหม่ สร้างระบบเทคโนโลยีใหม่ ก็ยังใช้เงินไม่ถึง 2 พันล้าน ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาบอกว่าเดือนมิถุนายน เป็นหนี้ 5,700 ล้านแต่วันนี้ห่างแค่เดือนเดียวกลับบอกว่าเป็นหนี้ 6700 ล้านบาท ก็ไม่รู้ว่าขึ้นมาอย่างไร องค์การค้าถูกประณามในสื่อว่าเอาเงินชาติมาทำลายเป็นหนี้เป็นสิน เสียดายงบประมาณรัฐ ขอยืนยันว่า องค์กรค้าฯไม่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ กระทรวงศึกษา สกสค. แม้แต่บาทเดียว สกสค. เอาเงินกองทุนฌาปนกิจครูมาให้กู้คิดดอกเบี้ย การทำธุรกิจส่วนใหญ่คนกำกับดูแลต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกด้านทั้งคน เทคโนโลยี ต้องบริหารอย่างมืออาชีพ แต่วันนี้ดูแล้วหมดที่พึ่ง จึงต้องหวังพึ่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเมิดข้อกฎหมายและกระทำความผิดทั้งเรื่องการทุจริตและการเอื้อประโยชน์โครงการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะคนเหล่านี้เป็นกากเกลื้อนของสังคม ที่ควรต้องดำเนินการเอาผิดให้ถึงที่สุด “