“เรืองไกร” ยื่น กกต.ส่งศาล รธน.ยุบ “พปชร” ปมเทียบเชิญ “บิ๊กป้อม” นั่งหัวหน้าพรรค

“เรืองไกร” ยื่น กกต.ส่งศาล รธน.ยุบ “พปชร” ปมเทียบเชิญ “บิ๊กป้อม” นั่งหัวหน้าพรรคโดยใช้สถานที่มูลนิธิป่ารอยต่อ ชี้เข้าข่ายผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ยกเคสยุบไทยรักษาชาติเทียบ

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​(กกต.)​ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. ยื่นหนังสือขอให้กกต.พิจารณาเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำพรรค ไปเทียบเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ให้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) โดยได้เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยุบพรรคไทยรักษาชาติ  ซึ่งศาลมองว่าเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เนื่องจากข้อห้ามของมูลนิธิ ข้อ2.7 กำหนดว่าห้ามใช้มูลนิธินี้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งต่อมานายไพบูลย์ ได้ระบุว่าได้ไปเทียบเชิญพล.อ. ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จริง โดยได้มีการโชว์ภาพตามที่ปรากฏในสื่อ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา และได้มีการเลือกพล.อ.ประวิตรให้เป็นหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ถือเป็นความผิดที่อาจจะเกิดขึ้น จึงมาร้องต่อกกต.ให้วินิจฉัยกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) ว่าเป็นการกระทำอาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่

“มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งข้อ2.7ยังอยู่ และนักการเมืองจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายนั้นไม่ได้  เพราะแต่ละคนทำไมไม่ไปทำเนียบรัฐบาล หรือที่ทำการใหม่ของพรรค แต่กลับไปใช้พื้นที่ของมูลนิธิ การเข้าออกอยู่ดีๆคงไม่มีใครขับรถ จะต้องมีการนัดหมาย แสดงว่ามีเจตนา แต่เจตนาท่านอาจจะรีบ รีบจนลืมข้อกฎหมาย”นายเรืองไกร กล่าว

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องของเจตนานั้นได้บัญญัติชัดเจนว่า “เพียงอาจเป็นปฏิปักษ์ก็ต้องห้ามแล้ว หาจำเป็นต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือต้องรอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นจริงเสียก่อนหรือไม่ อีกทั้งคำว่าอาจเป็นปฏิปักษ์ในทางกฎหมายเป็นเงื่อนไขทางภาวะวิสัย ไม่ขึ้นกับเจตนา หรือความรู้สึกส่วนตัวของผู้กระทำว่าจะเกิดผลเป็นปฏิปักษ์จริงหรือไม่ หากแต่ต้องดูตามพฤติการณ์แห่งการกระทำนั้นๆ ว่าในความคิดของวิญญูชนคนทั่วๆไปรับรู้ได้“ ซึ่งตนก็เห็นว่ากรณีนี้ อาจเป็นปฏิปักษ์โดยชัดเจน แต่แปลกใจที่กกต.เพิกเฉย ต่างจากกรณีการดำเนินการยุบพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ ตนจึงยื่นเรื่องให้กกต.ตรวจสอบเรื่องนี้พร้อมกับกรณีพล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ส.ว. ที่เข้ามาแทรกแทรงพรรคการเมือง ล็อบบี้กรรมการบริหารพรรคให้ลาออก ซึ่งได้ยื่นเรื่องไปก่อนหน้านี้ แต่กกต.ยังไม่เรียกมาให้ถ้อยคำ

อย่างไรก็ตาม หาก กกต.พบว่ามีความผิดขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรค เหมือนกรณีพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ ก็จะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการในขณะนั้นมีความผิด ส่วนพล.อ.ประวิตร ที่ในขณะนั้นยังไม่มีสถานะก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย

นายเรืองไกร กล่าวถึงกรณีที่ไพบูลย์ ระบุว่าจะฟ้องร้องกลับตนนั้นว่า จะฟ้องก็ยินดีเพราะหลักฐานที่เอามายื่นต่อกกต.ก็นำมาจากพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่ากกต.จะใช้เวลาไม่นานเพราะภาพหลักฐานก็ปรากฏตามสื่ออยู่แล้ว