‘จิรายุ’ อัด รบ.กู้แล้วกู้อีก หวั่นซ้ำรอยยุคจอมพล ป. ‘บิ๊กตู่’ โวเป็นนายกฯ หนี้สาธารณะลดลง

‘จิรายุ’ ห่วงไทยซ้ำรอยยุคจอมพล ป. เกิด “ดุลข้าราชการ” ด้าน ‘บิ๊กตู่’ โว เป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 58 หนี้สาธารณะลดลง กระทั่งพิษโควิด -19 ทำหนี้เพิ่ม

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 3 ก.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ที่ผ่านมาท่านกำลังกำหนดชะตาของประเทศ แต่ตนไม่เคยไว้วางใจว่าการทำงบของท่านจะแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ เพราะท่านกู้อย่างต่อเนื่อง ทำประเทศอ่อนปวกเปียก วันนี้นายกฯ ยังผันตัวเป็นผู้จัดงานมหกรรมการก่อหนี้แห่งชาติ 2564 การก่อหนี้ของท่านเหมือนนายกฯ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยประชาชนเอาเงินลงทุนไปให้ท่าน แต่สุดท้ายท่านก็ยังกู้แล้วกู้อีก

ยกตัวอย่างมีการกู้ชดเชยขาดดุลปี 2563 จำนวน 4.69 แสนล้านบาท ส่วนปี 2564 กู้อีกจำนวน 6.23 แสนล้านบาท ซึ่งปี 2564 ถือว่าอยู่ในระยะอันตรายของภาวะเศรษฐกิจ เพราะว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีปัญหา ยิ่งจัดงบประมาณแบบนี้ประเทศชาติเจ๊งทั้งประเทศ เป็นการทำงบแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ จึงอยากเตือนนักธุรกิจให้ติดตามให้ดี เพราะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลายทางด้านการคลัง เนื่องจากรัฐบาลกู้ไปแล้ว 58 เปอร์เซ็นต์ และปี 2564 หนี้สาธารณะอาจทะลุ 60 เปอร์เซ็นต์แน่นอน ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว เรียกได้ว่ารัฐบาลทำงบแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ อยากฝากไปยังประชาชนให้เตรียมตัวให้ดี

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า “ดุลข้าราชการ” เคยเกิดขึ้นสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตอนนั้นต้องลดกำลังพลลง ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยหรือไม่ เพราะว่ากู้ไมได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือลดกำลังข้าราชการหรือรายจ่ายประจำลง ขอให้ท่านสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า “ดุลข้าราชการ” จะไม่เกิดขึ้นเหมือนสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ วิธีการหาเงินในยุคนิวนอร์มัล รัฐมนตรีพูดแต่เรื่องของกระทรวงตัวเอง แต่ไม่มีใครพูดแทนนายกฯ ท่านไม่มีแผนการรองรับคนตกงานที่ชัดเจน ดังนั้น ท่านต้องมีแผนว่าในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้า ท่านจะจัดการอย่างไรต้องเอาให้ชัด

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ประเทศไทยเคยมีมา 28 นายกฯ เมื่อย้อนดูว่าวันนี้ประเทศไทยก้าวหน้าไปเท่าไหร่ ประชาชนมีมากเท่าไหร่ ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ โดยปี 2556 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 42.19 เปอร์เซ็นต์, ปี 2557 หนี้สาธารณะ 43 เปอร์เซ็นต์, ซึ่งปี 2558 หนี้สาธารณะ 42 เปอร์เซ็นต์ เป็นปีที่ตนเข้ามาบริหารประเทศแล้วซึ่งหนี้ก็ลดลง, ปี 2559 หนี้สาธารณะเหลือ 41 เปอร์เซ็นต์, ปี 2560 หนี้สาธารณะ 41.78 เปอร์เซ็นต์, ปี 2561 หนี้สาธารณะ 41.95 เปอร์เซ็นต์, ปี 2562 หนี้สาธารณะ 41.10 เปอร์เซ็นต์ และเดือน พ.ค.2563 มีหนี้สาธารณะ 44.01 เปอร์เซ็นต์ ที่เพิ่มขึ้นและต้องกู้เพื่อแก้ปัญหาโควิด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องรายได้ประเทศ เราต้องประเมินจากสถานการณ์โควิด ถ้าดีขึ้นก็น่าจะเก็บรายได้ได้มากขึ้น ถ้าไม่ได้ก็ต้องใช้จ่ายตามงบประมาณที่มีอยู่ และเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และฝ่ายบริหารที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ในส่วนของงบที่ได้รับการจัดสรรที่ไม่เพียงพอ เราสามารถปรับแผนโดยอาจจะชะลอโครงการที่ล่าช้า หรือโครงการที่ไม่มีความจำเป็นก่อนได้ เพื่อปรับเแผนการใช้งบประมาณตามความจำเป็น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนพูดมีแค่สองข้อ คือ เรื่องของโอกาสที่วันนี้โครงการที่ก่อสร้างถนนหนทาง เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ใช้ประโยชน์เป็นการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม และเรื่องความเป็นธรรม รัฐบาลนี้เข้ามาดูแลประชาชนอย่างถ้วนหน้า ดูแลผู้มีรายได้มาตลอดทำไมท่านไม่พูดบ้าง ไม่ช้าก็จะมีงบฟื้นฟูการจ้างงาน ซึ่งเราต้องใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ตนเป็นเพียงหัวหน้ารัฐบาล โครงการทุกอย่างอนุมัติโดยครม. ตนไม่ได้เข้าไปแทรกแซง มีเพียงให้นโยบายเท่านั้น จึงไม่ใช่ตนเพียงคนเดียวโปรดเข้าใจด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพมีโอกาสแต่ทุกคนต้องเคารพกฎหมายจะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น