‘วิโรจน์’ จวกรัฐบาล มัดตราสังชาติ 20 ปี ตัดงบการศึกษา ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ

‘วิโรจน์’ จวกรัฐบาล จัดงบประมาณมัดตราสังชาติ 20 ปี แทนที่จะอุดหนุนงบการศึกษาเพิ่มขึ้น กลับตัดงบซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ

เมื่อเวลา 21.15 น. วันที่ 2 ก.ค. ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 เกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ไปสำหรับพัฒนาการศึกษาในประเทศว่า ถ้าเราปล่อยให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จัดงบประมาณทางการศึกษาแบบนี้ต่อไป ไม่มีทางที่จะพัฒนาเด็กไทย ให้เติบโตขึ้นมา เป็นพลเมืองที่มีความสามารถในการแข่งขัน และร่วมมือกับพลโลกจากนานาอารยประเทศได้เลย เทียบกับคนอื่นว่าช้ำแล้ว ถ้าเทียบกับตัวเองแล้วยิ่งช้ำ เขามีแต่ยิ่งเรียนแล้วยิ่งดีขึ้น

แต่การศึกษาไทย มีแต่จะสาละวันเตี้ยลง นี่คือระบบการศึกษาแบบ Moon Walk ลีลาเหมือนจะเดินไปข้างหน้า แต่พอเปรียบเทียบกับคนอื่น กลับเดินถอยหลังอยู่ตลอดเวลา การศึกษาในโลกในยุคปัจจุปัน ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเรื่องที่คนรุ่นหนึ่งรู้ คนรุ่นหนึ่งเชื่อ เพื่อให้คนอีกรุ่นหนึ่งรู้ และเชื่อตามๆ กัน อีกต่อไป แต่เป็นกลไกในการพัฒนาคน ให้แต่ละคนมีคุณค่าในตนเองที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อรองรับกับสภาพสังคมในโลกอนาคต

ผลการศึกษาไทยจากผลการทดสอบ PISA ที่ประเมินคุณภาพของระบการศึกษาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก พบว่าทั้ง 3 วิชา ทั้งทักษะการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ของประเทศไทย นั้นอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของโลกมาโดยตลอด เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ และเวียดนาม ก็ยืนยันได้ว่า การศึกษาของประเทศไทย คะแนนต่ำติดพื้น และเป็นฐานให้กับทั้งเวียดนาม และสิงคโปร์ แบบที่ไม่เห็นสัญญาณว่าจะโงหัวขึ้นมาได้

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า จากสถิติเด็กยากจนที่อยู่ในกลุ่มล่าง ที่มีทั้งทักษะการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ในประเทศสิงคโปร์ เด็กยากจน 100 คน มีเด็กที่มีทักษะที่แข่งกับโลกนี้ได้ถึง 43 คน เวียดนามเด็กยากจน 100 คน มีช้างเผือกที่มีโอกาสหลุดพันจากความยากจนอยู่ถึง 30 คน ในขณะที่การศึกษาของประเทศไทย เด็กยากจน 100 คน จะมีเพียง 4 คน เท่านั้นที่มีโอกาสหลุดพ้นจากความยากจน

ถ้าการศึกษาไทยยังคงเหลื่อมล้ำแบบนี้ เด็กยากจน 100 คน ก็จะเติบโตพื้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ยากจนต่อไป เอาแค่ 3 เจเนอเรชั่น จากเด็กยากจน 100 คน จะเบ่งบานกลายเป็นคนจน 182 คน นี่ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ แต่เป็นสารรูปประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์มัดตราสังชาติ 20 ปี

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ประเทศสิงคโปร์จำนวนเด็กลดลง แต่เขามองว่านี่คือโอกาสที่จะปรับปรุงคุณภาพทางการศึกษา และทุ่มงบประมาณไปที่เด็กยากจน เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ เหมือนกับครอบครัวที่มีลูกน้อยลง ก็สามารถทุ่มงบประมาณในการพัฒนาลูกได้อย่างเต็มที่มากขึ้น แต่ประเทศไทยของเราคิดสวนทาง เราปรับลดงบประมาณลงตามจำนวนเด็กที่ลดลง เพื่อคงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ดำรงอยู่ต่อไป

“เด็กที่เรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 1 – ม.3 ในประเทศไทย ที่มีอยู่ 4.9 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเด็กยากจนอยู่ถึง 1.64 ล้านคน และใน 1.64 ล้านคน มีเด็กที่อยู่ในกลุ่มยากจนพิเศษที่ผู้ปกกรองมีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท อยู่ถึง 7 แสนคน ซึ่งเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระการศึกษา ยิ่งเจอกับปัญหาการระบาดของโควิด มีการประเมินกันว่า เด็กอาจจะหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น แทนที่รัฐบาลจะเพิ่มการอุดหนุนเพิ่มขึ้น กลับไปตัดงบประมาณซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ แล้วกลับไปเพิ่มงบกลางที่ พล.อ.ประยุทธ์สามารถเซ็นได้คนเดียว นายกฯ ทอดทิ้งเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร และมีคนบอกว่าประเทศเรากำลังจะล้ำ ผมก็คิดว่าเลิศล้ำ ที่ไหนได้ เหลื่อมล้ำ”

เด็กที่เติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ จะสร้างรายได้และเป็นกำลังการบริโภคให้กับประเทศ ซึ่งจะเหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชนต่างๆ ตามมาอีกมากมาย แต่ถ้าเด็กเติบโตพื้นมาอย่างไม่มีคุณภาพโดยที่รัฐไม่เหลียวแล เด็กกลุ่มนี้ก็ยังต้องอยู่กับแผ่นดินนี้ต่อไปจนลมหายใจ

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สุดท้าย ในงบปี 64 ที่ประโคมข่าวเรื่อง Coding และ STEM Education ที่จะพลิกการศึกษาไทยสู่อนาคต 4.0 ซึ่งมีงบประมาณอยู่แค่ 124.6 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นโครงการลูบหน้าปะจมูก ซึ่งมีแต่งบประมาณ ประเภทที่เป็นโครงการรณรงค์ ประชุมสัมมนาต่างๆ ที่ดึงครูออกนอกห้องเรียน และเป็นโครงการที่มีแต่จะสร้างภาระงานธุรการให้กับครู และงบประมาณโครงการเหล่านี้สูงถึง 5,818 ล้านบาท

ปีการศึกษาหนึ่งมี 200 วัน ครูต้องทิ้งห้องเรียน เพราะโครงการจำพวกนี้ถึง 84 วัน การที่รัฐบาลจัดงบทางการศึกษาแบบนี้ คือการทำให้เด็กสูญเปล่าทางการศึกษา และสนับสนุนให้ครูทิ้งห้องเรียน และเอาเด็กเป็นปาหี่ทางการศึกษาเท่านั้นเอง 5,818 ล้านบาท ถ้าเอามาดูแลอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน จากวันละ 20 บาท เป็น 23 บาท ก็จะใช้งบเพียง 3,960 ล้านบาท

ถ้าเอามาจัดรถรับ-ส่งนักเรียน เพื่อให้นักเรียนในชุมชนบ้านห่างทางไกล ที่มีอยู่ประมาณ 1 ล้านคน สามารถเข้าถึงโรงเรียนที่มีคุณภาพ ที่่สามารถเติมเต็มความฝันของพวกเขาได้ นี่ให้เงินแค่ 4,000 ล้านบาท ทำไมรัฐบาลนี้ถึงไม่สามารถสร้างชีวิตที่ดีให้กับนักเรียนได้เลย เราเอาเงินที่สร้างจะภาระงานธุรการให้กับครู มาให้ใช้การปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับนักเรียน จะไม่ดีกว่าหรือ

“จากการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ มีการเลื่อนเปิดเทอมไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม ผมก็คิดว่า จะมีการเตรียมการปรับ สภาพโรงเรียน ติดตั้งอ่างล้างมือเพิ่มเติม จัดทำฉากกั้นระหว่างโต๊ะเรียน จัดซื้อเครื่องตรวจวัดคุณหภูมิ และเจลแอลกอฮอล์ต่างๆ เพื่อป้องกันการ ระบาดของโรค ซึ่งก็ปรากฏว่ามี แต่ไม่มีงบประมาณให้ ให้โรงเรียนไปกระเบียดกระเสียด เบียดบังเอางบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีอยู่แค่หัวละ 100-200 บาท มาใช้ การศึกษาไทยไม่เคยปรุบปรุงคุณภาพชีวิตของเด็กเลย ต่อให้หลักสูตรดีอย่างไรก็เรียนไม่รู้เรื่อง ถ้าคุณภาพชีวิตของเด็กไม่ดี เราต้องเชื่อว่า ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี กินอิ่ม นอนหลับ ได้รับความเอาใจใส่ พัฒนาการจะเกิดได้ด้วยตัวเขาเอง”

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า งบประมาณทางการศึกษาในปี 64 ยังคงเป็นระบบการศึกษาแบบเก่า ที่เราทำกันอยู่ นี่ไม่ได้เรียกว่า “สอน” แต่เป็นการ “หลอน” ที่พยายามทำให้เด็ก ทุกๆ คน เป็นเหมือนๆ กัน กดให้เด็กยอมทำตามคำสั่ง เป็นระบบที่ให้นายทุนใช้เลือกคนไปเป็นแรงงาน เรียนมากแต่รู้น้อย รู้น้อยแต่สอบมาก พอสอบมาก ได้ผลน้อย พอได้ผลน้อย ก็เลยวนกลับไปเรียนเพิ่มอีก วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ของการศึกษาไทย ที่จ่ายเงินครบก็จบแน่ เอาก้นมานั่งแช่ก็ได้ใบ แต่ไม่อาจสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับเด็กไทยได้เลย ซึ่งทั่วโลกเขาสอนให้เด็กเป็นเจ้านายตัวเอง แต่เรายังคงหลอนให้เด็กเป็นเจ้าคนนายคน ทั่วโลกเขาพยายามสร้างธุรกิจใหม่ สร้างผู้ประกอบการ ส่วนของเรายังคงจมปลักกับภาษิต สิบพ่อคำไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง

“นี่ไม่ใช่นิวนอร์มัล แต่เป็น Very Old Coconut Shell หรือ กะลาใบเก่าๆ ใบเดิม งบประมาณปี 2564 นี้ มันไม่ใช่งบการศึกษา เพื่อสร้างให้เด็กเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นพลโลก แต่เป็นงบที่เอากะลาน้ำแข็งมาครอบเด็กไทย และผมเชื่อว่าถ้าให้พล.อ.ประยุทธ์ และให้รัฐบาลนี้ จัดงบประมาณแบบนี้ต่อไป ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของประเทศในภาพรวม จะยังคงต่ำแบบนี้ต่อไป และยังคงเหลื่อมล้ำอยู่แบบเดิม ซึ่งผมและพรรคก้าวไกล ยอมรับกับงบประมาณทางการศึกษาแบบนี้ไม่ได้ และจำเป็นต้องโยนกะลาใบนี้คืนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายวิโรจน์ กล่าว