“นิพิฎฐ์” จัดหนัก ฟ้องศาลทุจริตฯ เอาผิด 7 กกต. ช่วยผู้สมัครส.ส. แม้หลักฐานทุจริตชัด

“นิพิฎฐ์” จัดหนัก ฟ้องศาลทุจริตฯ เอาผิด 7 กกต. ช่วยผู้สมัคร ภท.เขต2พัทลุง ลั่นมีข้อมูลมากกว่าที่เห็น ขู่ติดคุกตลอดชีวิต โว ถ้าไม่มั่นใจไม่ฟ้อง ไม่อยากติดคุกตอนแก่

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.พัทลุง เขตเลือกตั้งที่ 2 แถลงฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จำนวน 7 คน ว่า วันนี้ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อดำเนินคดีต่อ กกต.กลาง ทั้ง7 คน ฐานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เนื่องจากบุคคล ทั้ง 7 คน ซึ่งมีหน้าที่ต้องจัดการเลือกตั้ง ควบคุมดูแลให้เป็นไปตามสุจริตเที่ยงธรรม และต้องใช้อำนาจหน้าที่อย่างกล้าหาญ ปราศจากอคติ และการใช้ดุลยพินิจต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง

แต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 แต่กกต.ได้สมคบคิด ใช้อำนาจหน้าที่ทุจริต มีอคติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ไม่มีข้อเท็จจริงและเหตุผลรองรับอันเป็นการใช้อำนาจช่วยผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ให้ชนะการเลือกตั้งในเขต 2 พัทลุง แทนที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะมีหลักฐานปรากฏชัดว่าเต็มไปด้วยการทุจริตและมีการซื้อเสียง ไม่เที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมาย สร้างผลเสียหายร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทำให้ตนได้รับความเสียหาย

“การกระทำของกกต.ทั้ง7คน ใช้ดุลยพินิจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล และเป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจจนล้นนอกเขตของความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทุจริตตามนัยยะคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 3509/2549 นอกจากนี้ยังเป็นการทำลายและบั่นทอนระบอบประชาธิปไตย หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ทุจริตและเข้าไปแสวงหาอำนาจได้ประโยชน์ สร้างความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของ 7 กกต. สืบเนื่องจากตนได้ยื่นร้องเรียนการทุจริตในเขตเลือกตั้งดังกล่าว ทั้ง 4 เรื่องคือ เรื่องแรก พยานของตน ซึ่งก่อนหน้านี้ยอมรับว่าเป็นผู้ซื้อเสียง โดยกกต.จังหวัดชี้ว่ามีการซื้อเสียงจริง แต่ภายหลังพยานได้กลับคำให้การ โดยอ้างว่าเป็นการให้เงินหลานไปซื้อน้ำมันพืช ซึ่งกกต.เชื่อตามนั้น และยกคำร้อง เรื่องที่ส2. บัญชีรายชื่อพิสูจน์ชัดเจน ว่าเป็นการซื้อเสียง พร้อมมีคลิปว่ามีชาวบ้านเดินเขาไปรับเงินถึงในบ้าน และบอกให้เลือกเบอร์ 9 แต่กกต.กลับยกคำร้องโดยเชื่อพยานที่อ้างว่าไม่ทราบว่าเป็นบัญชีอะไรและไม่ทราบว่าเป็นเงินสำหรับใช้ทำอะไร เพราะไม่ได้ยินเสียงชัดเจนว่าพูดอะไร ทั้งที่ความจริงคลิปดังกล่าวเสียงชัดเจนมาก

เรื่องที่3. หลักฐานในไลน์ “กลุ่มเพื่อนนายฉลอง” ที่สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถ่ายบัตรประชาชน 35,000 ใบทั่วเขตเลือกตั้งที่ 2 แลกกับการจ่ายเงินให้ประชาชนหัวละ 500 บาท แต่มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งบอกว่าไม่สามารถทำตามได้ เพราะต้องวางตัวเป็นกลาง ทำให้สารวัตรกำนันคนหนึ่งลบชื่อผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวออกจากกลุ่มไลน์ ซึ่งในการสอบสวนของกกต.มีการอ้างว่าได้เชิญผู้ใหญ่บ้านรายดังกล่าวมาให้การ ระบุว่าเป็นการสำรวจคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย โดยกกต.เชื่อข้ออ้างดังกล่าวและยกคำร้อง ทั้งที่ความจริงการสำรวจคะแนนนิยมจะไม่ใช้เจ้าหน้าที่ไปสำรวจในช่วงที่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ซึ่งตนได้โต้แย้งว่าหากเป็นการสำรวจคะแนนนิยมจริงทำไมต้องลบชื่อผู้ใหญ่บ้านที่วางตัวเป็นกลางออกจากกลุ่ม อีกทั้งพ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ห้ามไม่ให้ทำการสำรวจ และเรื่องที่ 4.ในกลุ่มไลน์ดังกล่าวยังบอกว่าถ้าโดนจับได้ว่าซื้อเสียงให้โยนว่าเป็นเงินซื้อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลมาตนได้ร้องไปยังกกต.จังหวัดว่าเป็นการใส่ร้ายคะแนนนิยมทั้งของตนและพรรค แต่กกต.ให้ดำเนินคดีกับผู้เขียนไลน์เท่านั้น ทั้งที่ตามปกติต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากเกิดความไม่สุจริต

“ผมเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะผมไม่เชื่อว่าคนที่ให้ข้อมูลจะซื่อตรง ผมมีข้อมูลมากกว่านั้น ถ้ากกต.รู้ว่าในมือผมมีข้อมูลมากกว่านั้น กกต.จะหนาว แต่ผมไม่เปิดเผยวันนี้ ที่ผ่านมาผมเคยทำคดีฟ้องกกต.ชุดพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ จนติดคุกมาแล้ว แต่ครั้งนี้ผมมั่นใจถ้ามีข้อมูล 50-50 ผมไม่ทำ เพราะถ้าไม่มั่นใจเขาฟ้องผมได้ เรื่องอะไรผมจะติดคุกตอนแก่ และผมรู้ว่ากกต.ติดคุกเพราะอะไร ดังนั้นขอยืนยันด้วยศักดิ์ศรีของทนายความและนักการกฎหมายตลอดชีวิตของผม ว่า เรื่องนี้มีพยานหลักฐานหนักแน่นมากกว่าคดีชุดพล.ต.อ.วาสนา เคยติดคุกมาแล้ว และผมจะทำคดีนี้ให้ถึงที่สุด กกต.ไม่ใช่ลูกผู้ชาย เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นการซื้อเสียงจริง แล้วคุณบอกว่าเป็นน้ำมันพืช คุณต้องติดคุกให้ผม เดิมพันกัน และถ้าคุณเชื่อว่าพยานใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์จริง และดำเนินคดีเขา แต่ทำไมคุณไม่เลือกตั้งใหม่ และที่คุณอ้างว่าเป็นเงินซื้อน้ำมันทำไมคุณไม่ฟ้องผม มันเป็นตรรกะ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

นายนิพิฎฐ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การยื่นฟ้องครั้งนี้ต้องการให้กกต.มีมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมาไม่มีมาตรฐานเลย และพฤติกรรมเลวร้ายกว่าชุดพล.ต.อ.วาสนา เสียอีก ซึ่งความผิดนี้ ถึงขั้นติดคุกตลอดชีวิต แต่ที่ผมโกรธมาก คือ กกต.ได้รับการโปรดเกล้าฯจากพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความไว้วางพระราชหฤทัย ดังนั้น จะต้องสะอาด ถ้าไม่สุจริต ทำงานไม่ได้ แต่นักการเมืองพรรคอ่อนแอ สีดำ สีเทา มีการทุจริตจึงไม่กล้าฟ้อง ตนแนะให้ดูว่าประธานหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.)ของกกต. ว่าใครเป็นประธานพตส. ซึ่งก็คือหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งนี้ ทั้งนี้ผมจะไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ด้วย


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่