บิ๊กตู่ ประธานมอบเงินช่วยบุคลากรการแพทย์ ลั่นไม่ทำตามกระแส หวั่นโควิดกลับมา

“บิ๊กตู่”มอบเงินช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ จนท.ด้านสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากโควิด “ยัน”ไม่ได้ใช้อำนาจคนเดียว “ลั่น”ไม่ทำตามกระแสหวั่นปัญหากลับมาใหม่แก้คืนไม่ได้อีก ห่วงเปิดเรียน 1 ก.ค.”ย้ำ”สธ.ดำเนินมาตรการให้ครบ จับตาศบค.ชุดใหญ่เคาะการผ่อนคลายระยะที่ 5 พร้อมพิจารณาต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกหรือไม่

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่โถงกลางตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จำนวน 88 ราย จากเงินบริจาคบัญชีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 2,980,000 บาท โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายซาบซึ้งในการทำงานของบุคลากร ในการรับมือกับภัยโควิด-19 เพราะไม่ว่าเป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างได้รับผลกระทบจากกาารปฏิบัติหน้าที่ทั้งสิ้น และทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ จนทำให้เราได้รับการชื่นชมว่าเราจะมีระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก โดยองค์กร Global COVID-19 หรือ(GCI) จัดคะแนนดัชนีและอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิด-19 เป็นอันดับ 2 จาก 184 ประเทศทั่วโลก จึงถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย แต่เรายังคงต้องทำเช่นนี้ต่อไป

“มาตรการใดที่สามารถผ่อนคลายได้ก็จะผ่อนคลายให้ อะไรที่ยังติดปัญหาอยู่บ้างก็ขอให้ทุกคนเข้าใจ เพราะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้เสียสละทั้งชีวิตและร่างกาย เพื่อแก้ปัญหา ถ้าเราตัดสินใจอะไรที่รวดเร็วเกินไป ทำตามกระแสมากเกินไปก็อาจทำให้ปัญหาเหล่านี้มันกลับมาใหม่อีกแล้วก็จะแก้คืนไม่ได้ดี ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะทีมนักรบเสื้อขาวและพลังอสม. ซึ่งผมได้กล่าวในที่ประชุมอาเซียนที่ผ่านมาว่าเป็นพลังสตรีไทยมีบทบาทสำคัญของสตรีโลก ซึ่งได้รับการชื่นชมจากที่ประชุมอาเซียน จึงขอให้ทุกคนภาคภูมิใจที่ได้บูรณาการงานร่วมกัน และขอให้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มแข็งต่อไป ถือว่าทุกคนคือด่านหน้าที่ต้องเผชิญความเสี่ยงสูง จึงขอให้ดูแลอุปกรณ์ เครื่องมือ และสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด ทุกคนตั้งใจและทำงานอย่างเสียสละ ไม่เช่นนั้นบุคลากรที่มีความเสี่ยงสูงอาจได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การมอบเงินให้กับครอบครัวผู้ที่สูญเสียในวันนี้ ไม่สามารถทดแทนอะไรได้ เพียงแต่ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังสามารถมีชีวิตอยู่ได้และขอให้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัด ในส่วนของงบบริจาคที่รัฐบาลได้มา ตนเคยพูดแล้วว่าเป็นคนละส่วนไม่สามารถนำมาใช้ ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นำมาใช้ในนามของรัฐบาลแต่นำมาใช้ทดแทนในส่วนที่ขาดเหลือจากระบบราชการ และใช้ในการดูแลในเรื่องผลกระทบ ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณของตังเองอยู่บ้างแล้ว ครั้งนี้นำเงินมาช่วยเหลือในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้โดยเฉพาะประเทศไทย ถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างประเทศไทย สร้างคนไทยใหม่ให้โลกได้รู้จักว่าคนไทยเราไม่ทิ้งกัน คนไทยดูแลซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันจากนี้เป็นต้นไปเราต้องดูแลเพื่อนของเราจากต่างประเทศด้วย เนื่องจากการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกัน เพียงแต่เราต้องหามาตรการที่เหมาะวงสมตามสถานการณ์ รวมทั้งใช้กฎหมายที่เหมาะสมเพียงพอในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

“สิ่งสำคัญสำหรับประเทศวันนี้คือการแก้ปัญหาแพร่ระบาด แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยอมรับว่าไม่สามารถแก้ได้ในเร็ววัน อีกทั้งหลายประเทศก็มีปัญหาเดียวกัน แม้จะเป็นประเทศขนาดใหญ่กว่าเราก็ตาม เราจึงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยมาตรการด้านการสาธารณสุขนำ ในการพิจารณาเรื่องใดก็ตาม ผมจะให้เกียรติกับฝ่ายสาธารณสุขก่อน หลายคนบอกว่าผมมีอำนาจ ใช้อำนาจหน้าที่เพียงคนเดียว ยืนยันว่าผมไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่เพียงคนเดียว แต่เป็นการใช้อำนาจเพื่อให้เกิดการบูรณาการ มีการประชุม ให้แนวทางและหลักการลงไปในฐานะห้วหน้ารัฐบาลเท่านั้น มีการกำหนดเป้าหมายและให้หน่วยงานไปหาหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ซึ่งมีจากหลายหน่วยงานประกอบ ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายความมั่นคง และสาธารณสุข แล้วถึงจะกลับมาสู่ที่ประชุมใหญ่”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้ก็มีการประชุมกันอีกครั้ง เพื่อพิจารณามาตรการการผ่อนคลายในระยะที่ 5 และการทำงาน จึงขอชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจว่า ไม่ใช่นายกฯ จะสั่งการคนเดียวทุกอย่างได้ ซึ่งนายกฯ เพียงกำหนดนโยบายและวิสัยทัศน์ลงไป รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติ ต่อจากนั้นก็มีคณะทำงานต่างๆ ที่จะไปพิจารณาถึงหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแล้วให้ที่ประชุมยอมรับ จากนั้นนายกฯ จึงจะเห็นชอบตามมติที่ประชุม ถือเป็นการทำงานของรัฐบาล จึงขอให้ทุกคนไว้วางใจว่าทุกอย่างได้ผ่านการกลั่นกรองที่ดีที่สุดเพื่อประชาชน รัฐบาลพยายามทำอย่างดีที่สุด เราต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย และหวังว่าพลังจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของทุกภาคส่วนในวันนี้ จะแก้ปัญหาและส่งผลให้ประเทศไทยก้าวผ่านภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตด้านสาธารณสุขไปได้ด้วยดี”

จากนั้นในเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมศบค. ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายกิจกรรมกิจการในระยะ 5 อาทิ อาบ อบ นวด ผับ บาร์, การเดินทางของบุคคลจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ มาตรการรองรับการศึกษาเด็กนักเรียนชายแดน และ การเว้นที่บนรถโดยสาร และที่สำคัญคือ การขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 1 เดือนหรือไม่ หลังจากที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ร่วมกับหลายฝ่ายเห็นพ้อง ให้ขยายเวลาการประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ตลอดเดือนก.ค .นี้ เพื่อรองรับผ่อนคลายระยะที่ 5 เนื่องจากมีกิจกรรมและกิจการ ที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการเปิดเทอม 1 ก.ค. 2563

ทั้งนี้หากที่ประชุมใหญ่ ศบค.มีมติเห็นชอบ ก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันพรุ่งนี้(30 มิ.ย.) ต่อไป อย่างไรก็ตามนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. จะเป็นผู้แถลงผลการประชุม

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.ศบค. กล่าวช่วงนึ่งของการประชุม ศบค.ว่า วันนี้มีมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมและกิจการต่างๆ ตามลำดับในระยะที่ 4 ไปแล้ว ซึ่งหลังจากไม่พบการระบาดในประเทศมากว่า 30 วัน แต่ยังพบผู้ติดเชื้อใน state quarantine ที่ล้วนมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น จึงต้องดูแลและดำเนินมาตรการเฝ้าระวังต่อไป แม้ไทยได้รับการยอมรับจากอาเซียน รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจ ในการแก้ปัญหานี้ แต่การแพร่ระบาดในรอบสอง ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จึงอยากให้ทุกคนระมัดระวัง และ ร่วมมือป้องกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป ที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมและกิจการจำนวนมาก รวมถึงการเปิดเรียน จึงได้ย้ำกับกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว ให้ดำเนินมาตรการที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วนด้วย


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่