ส.ส.เสรีรวมไทย อัดรัฐบาลตั้งงบเกินวงเงิน ส่อทุจริตเชิงนโยบาย ปลุกสภาอย่ายอม!

ส.ส.เสรีรวมไทย อัดตั้งงบเกินวงเงิน ส่อทุจริตเชิงนโยบาย ด้าน “วิเชียร” ขอบคุณก.กลาโหม ปรับลดงบประมาณมากสุด 14% ขณะที่

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. … วาระแรก ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ วงเงิน 88,452,579,900 บาท เพื่อโอนงบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณต่างๆได้รับตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2563 ไปตั้งเป็นงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นำไปใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาร่วมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของงบประมาณดังกล่าวด้วยตัวเอง

จากนั้น เวลา 11.00 น.นพ.เรวัติ วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า ขอให้ย้อนไปดูพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งในมาตรา 6(11 )เป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการงบสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตั้งไว้ 9.6 หมื่นล้านบาท การตั้งรายการดังกล่าวมีกรอบว่าจะตั้งไม่เกินร้อยละ3.5 ของวงเงินงบประมาณ เท่ากับตั้งได้ไม่เกิน 112,000 ล้านบาท งบปี 63 ที่ตั้งไว้ 9.6 หมื่นล้านบาท จึงเป็นเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ถือว่ายังไม่เกินกรอบวงเงินงบปี 63 หากเรายึดตาม พ.ร.บ.งบ 63 ร่างพ.ร.บ.โอนงบนี้ควรตั้งได้อีกไม่เกิน 16,000 ล้านบาท คืออีกร้อยละ 0.5 เพื่อเติมให้เต็มร้อยละ 3.5 และร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ตั้งงบเดิมไปจากกรอบที่นายกฯตั้งไว้อย่างชัดเจน แล้วเสนอมาให้สภาฯพิจารณาได้อย่างไร เรื่องนี้มีลักษณะที่ไม่ชอบมาพากล ฉ้อฉล รัฐบาลกำลังส่อทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ เพราะถ้ายึดถือตามติครม.เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมาเป็นหลัก ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ก็ควรขอมาได้ไม่เกิน 1,600 ล้านบาท แต่ทำไมจึงขอมาถึง 8.8 หมื่นล้านบาทเศษ เกินไปทั้งหมด 7.2 หมื่นล้านบาท แต่นายกฯไปออกประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่องขอกำหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินคลังการฉบับที่3 และไปแก้ไขสัดส่วนกรอบงบประมาณจากไม่เกินร้อยละ 3.5 เป็นไม่เกินร้อยละ 7.5 ซึ่งเป็นประะกาศเมื่อวันที่ 16 เม.ย.หลังวันที่ 7 เมษายน อย่างชัดเจน เพราะต้องการให้เป็นช่องเพื่อให้เพิ่มงบก้อนนี้ เรียกว่าไปชงเองกินเอง เพราะหากพิจารณาแล้วเรื่องนี้ทำไม่ได้ หรือไม่ควรทำอย่างยิ่ง เป็นการทุจริตเชิงนโยบายชัดเจน แต่ก็ทำไปแล้ว อย่างนี้สภาฯจะยอมได้อย่างไร จะปล่อยให้สิ่งไม่ชอบออกประกาศ แล้วมาแก้ไขใหม่เพื่อผ่องถ่ายเงินได้ตามอำเภอใจ เหมือนเขียนด้วยมือและลบด้วยเท้า

ต่อมาเวลา 11.20 น. นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า งบกลางมีความจำเป็นที่รัฐมีไว้เพื่อสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ เหมือนกับที่เรานำมาใช้แก้ไขปัญหาไวรัสโควิดในครั้งนี้ งบประมาณ 63 ต้องมีส่วนที่ไม่สามารถจะดำเนินการได้ เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 แล้ว รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการใช้งบประมาณ ฉะนั้นการพิจารณาว่าเมื่อไม่สามารถใช้งบประมาณในส่วนนั้นได้ ทำอย่างไรจึงจะนำงบประมาณนั้นมาใช้ประโยชน์ ประกอบกับเมื่อไม่มีงบกลางเพียงพอที่จะรองรับสถานการณ์ได้ โดยปกติการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี ส่วนราชการสามารถขอเปลี่ยนแปลงรายการแต่ต้องอยู่ในขอบเขตและวัตถุประสงค์ หากใช้งบประมาณไม่สำเร็จหรือไม่หมด เนื่องจากมีอุปสรรคก็ควรทำการโอนงบประมาณมาใช้ในส่วนที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลได้นำประเด็นเหล่านี้มาเป็นร่างพ.ร.บ.เพื่อให้สภาฯได้พิจารณา

“หน่วยงานที่ต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งคือกระทรวงกลาโหมที่ปรับลดงบประมาณมากที่สุดถึง 14 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับประชาชน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพัฒนาความมั่นคงและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์​ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน เป็นกระทรวงที่ปรับลดน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบ ซึ่งการปรับลดดังกล่าวเนื่องจากงบประมาณในส่วนนั้นไม่สามารถใช้ได้ จะนำมาใช้งบกลางเพื่อสำรองในส่วนของเหตุกาณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้”นายวิเชียร กล่าว


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่