เผยแพร่ |
---|
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 31 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ (พช.) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) ร่วมแถลงถึงการลงมติร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ
โดยนายสุทินกล่าวว่า ฉบับแรกพรรคร่วมฝ่ายค้านมีการประชุมกันจนนาทีสุดท้าย โดยยึดหลัก พ.ร.ก. ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงต้องไม่เสียหลักการและมีความเสี่ยงต่อประเทศชาติในอนาคต ดังนั้นจึงออกมาว่าฉบับที่ 1 ซึ่งเรารับได้ในเป้าหมายว่าช่วยเหลือชาวบ้านจริง ต้องได้รับการเยียวยาครบถ้วน และมีงบส่วนหนึ่งไปสนับสนุนระบบสาธารณสุข และฟื้นฟูประเทศ แต่ที่ยังเห็นเป็นข้อบกพร่องคือระบบการตรวจสอบที่ไม่ดีพอ รวมถึงมาตรการที่จะไปฟื้นฟูเศรษฐกิจ เราเชื่อว่าจะยังไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ก็จะไปเป็นผลต่อประชาชนระดับหนึ่ง ให้มีเงินจับจ่ายใช้สอยและเยียวยาความเดือดร้อน ดังนั้นเราจึงเห็นว่าการงดออกเสียงเป็นแนวทางที่เหมาะที่สุด
นายสุทินกล่าวอีกว่า ส่วน พ.ร.ก.ฉบับที่ 2 ก็เช่นเดียวกัน คือช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งไปสู่เอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย แต่เราเห็นว่าวิธีการยังไม่ถูกต้อง ยังมีความไม่ชอบมาพากล และระบบตรวจสอบก็ยังไม่มีเช่นเดียวกันกับฉบับแรก พร้อมกลไกการจะนำเงินเม็ดนี้ไปสู่เป้าหมายก็เชื่อว่ายังจะไปไม่ถึง อย่างไรก็ตาม หากประเมินแล้ว พ.ร.ก.ฉบับนี้เราสามารถงดออกเสียงได้ ส่วน พ.ร.ก.ฉบับที่ 3 นั้น กลุ่มเป้าหมายยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนที่จะต้องเร่งรีบในการออก พ.ร.ก.ไปช่วยเหลือ ทั้งนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่แม้จะได้รับผลกระทบเดือดร้อน แต่ยังมีเวลาในการช่วยเหลือรูปแบบอื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ทั้งนี้ สิ่งที่เรารับไม่ได้เลย คือการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องลงมาทำ ซึ่งมองว่าผิดหลักการความเชื่อมั่นของสถาบันการเงิน และสถานการณ์ของประเทศไทยจะมีปัญหาในอนาคตได้ ซ้ำยังจะเป็นบรรทัดฐานให้ดำเนินการเช่นนี้ได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีความกังวลใจในหลายข้อ เช่น การไปชดเชย หากขาดทุน 4.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังทราบข้อมูลบางส่วน แม้จะยังไม่ยืนยันคณะเจ้าของตราสารหนี้ ไม่ใช่ผู้เดือดร้อนจริงๆ ซึ่งได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เขาน่าจะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ เราจึงคิดว่าเรื่องนี้มีปัญหาในหลักการระยะยาว จึงไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้ ส่วนเสียงที่อาจจะไม่เห็นด้วยเหมือน 2 ฉบับแรก คือพรรคเสรีรวมไทย เขามีจุดยืนมาตลอดว่าไม่รับสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องจากการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ดังนั้นการเสนอกฎหมายโดยนายกฯ คนนี้ เขาถือว่าไม่ชอบ จึงงดออกเสียงทุกฉบับ อย่างไรก็ตามก่อนการลงมติไม่ได้มีการเช็กเสียงของสมาชิกแต่เชื่อว่ามาทำงานครบถ้วนกันทุกคน และเป้าหมายทิศทางก็จะไปด้วยกัน เกือบ 100%
ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า จำนวน ส.ส.ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีทั้งหมด 210 คน ซึ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทยมี ส.ส.ขาดประชุม 2 คนเนื่องจากป่วยและได้แจ้งตนแล้ว ส่วนหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็ลาประชุมเนื่องจากเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจำนวนของ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ลงคะแนนตนขอใช้คำว่าครบถ้วน 100 % ส่วนที่ไม่เห็นชอบ 1 เสียง ใน พ.ร.ก.ฉบับที่ 2 นั้น เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการลงคะแนนเสียงของ ส.ส.ในบางเรื่องเป็นเอกสิทธิของ ส.ส.ที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามการงดออกเสียงหรือการไม่เห็นชอบก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ถือเป็นการขัดแนวทางของพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่อย่างใด
นายพิจารณ์กล่าวว่า ในช่วงเช้าตนได้รับทราบข้อมูลว่ามีการจัดสรร แบ่งปันงบประมาณที่จะลงสู่จังหวัดให้กับ ส.ส.คน 80 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวแทนที่จะถูกนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับถูกกันไว้ให้กับ ส.ส.แต่ละคน โดยข้อมูลระบุว่าเมื่องบประมาณลงสู่จังหวัด ส.ส.ในพื้นที่สามารถเข้าไปกำหนดว่าจะนำเงิน 80 ล้านบาทไปใช้ในโครงการใดซึ่งเรื่องนี้จะนำไปสู่การหักหัวคิว เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม ทั้งที่งบประมาณนี้สามารถนำไปสร้างความยั่งยืน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่น แต่กลับเป็นโครงการที่สร้างความมั่นคงและยังยืนให้กับนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรค
นายพิจารณ์กล่าวอีกว่า เป็นเหตุผลที่ต้องมีการตั้งกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่ง ส.ส.จากฝ่ายค้านและรัฐบาลบางพรรคก็เห็นด้วยที่จะให้มีการตั้งกรรมาธิการ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยเพราะท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็มีผลต่อ ส.ส.บางพรรค จึงขอท่านนายกรัฐมนตรีหากต้องการให้ประชาชนเชื่อมั่นก็อย่ากลัวการตรวจสอบ
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่