“จีน VS สหรัฐ” 2 มหาอำนาจบาดหมางกันกี่เรื่องแล้ว หลังทรัมป์ดับเครื่องชนจีน

วันที่ 30 พฤษภาคม 2563 เอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เดินหน้าชนจีนอย่างหนักยิ่งขึ้น เมื่อประกาศว่าสหรัฐจะถอดสิทธิพิเศษหลายอย่างแก่ฮ่องกง หลังจากจีนจะเข้าควบคุมฮ่องกงด้วยกฎหมายความมั่นคง

การกระทำของจีนทำให้ฮ่องกงไม่ได้ปกครองด้วยแนวทาง หนึ่งประเทศ สองระบบ แต่เป็นหนึ่งประเทศ ระบบเดียว เท่ากับผิดสัญญาที่ทำไว้กับอังกฤษ

“จีนกำลังลดสถานะที่น่าภาคภูมิใจและมีมาอย่างยาวนานของฮ่องกง เป็นโศกนาฏกรรมสำหรับประชาชนฮ่องกง ประชาชนจีนและประชาชนในโลกโดยแท้จริง ผมได้สั่งคณะบริหารของผมเพื่อเริ่มกระบวนการยกเลิกนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษแก่ฮ่องกง

และคำสั่งดังกล่าวจะมีผลต่อข้อตกลงอย่างเต็มที่ ตั้งแต่แต่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปจนถึงการควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่นำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านสันติและการทหาร และอื่นๆ อีก รวมถึงข้อยกเว้นอื่นๆ อีกเล็กๆ น้อยๆ” นายทรัมป์กล่าว

ผู้นำสหรัฐยังเอ่ยถึงการจับมือกับอังกฤษ ยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เพื่อเตือนให้จีนทบทวนการใช้กฎหมายความมั่นคงกับฮ่องกง และ เพื่อให้รู้ว่าจีนกำลังละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศกับอังกฤษ ตามข้อตกลงส่งมอบฮ่องกง ปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ด้วยข้อสัญญาว่าจะรักษาระบบหนึ่งประเทศสองระบบ อย่างน้อยถึงปีค.ศ.2047 และยูเอ็นลงบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไว้

พร้อมกันนี้นายทรัมป์ยังออกคำสั่งสกัดกั้นนักศึกษาจีนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพจีนไม่ให้มาเรียนปริญญาโทที่สหรัฐ ด้วยข้อกล่าวหาว่าจีนจารกรรมข้อมูลอย่างผิดกฎหมายเพื่อขโมยความลับด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของสหรัฐมาหลายปีแล้ว ซึ่งเอฟบีไอตรวจสอบและสอบสวนอยู่กว่า 1,000 กรณี

แม้คำสั่งนี้ ไม่มีผลต่อนักศึกษาปริญญาตรี แต่ส่งผลกระทบต่อมหาวิทยาลัยในสหรัฐที่พึ่งพาเงินค่าเทอมจากนักเรียนต่างชาติมากขึ้น จากเดิมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการสั่งปิดมหาวิทยาลัย สาเหตุจากโรคระบาดโควิด-19 อยู่แล้ว

ขณะที่นักศึกษาจีนเป็นนักศึกษาต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดในสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนเกือบ 370,000 คน

นอกจากประเด็นพิพาทฮ่องกง และข้อกล่าวหาจีนขโมยการคิดค้นของสหรัฐ นายทรัมป์ยังเปิดศึกเผชิญหน้าและแสดงความความไม่ลงรอยกับจีนมาหลายเรื่อง เอเอฟพีประมวลเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนVSสหรัฐ มหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 ไว้ดังนี้

โควิด-19

นายทรัมป์กล่าวหาจีนว่าปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสในเมืองอู่ฮั่น ก่อนเชื้อระบาดไปทั่วโลก ทำให้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยเรียกไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ว่า ‘ไวรัสจีน” หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น”

แม้จีนปฏิเสธเสียงว่าเชื้อไม่ได้หลุดออกจากห้องทดลองเมืองอู่ฮั่น พร้อมเตือนว่าการกล่าวหากันเช่นนี้อาจนำไปสู่สงครามเย็นครั้งใหม่ แต่ทรัมป์ก็ดูเหมือนไม่ลดละ

สงครามการค้า

ทรัมป์โจมตีจีนมาตั้งแต่หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ว่าจีนทำการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ทั้งยังละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ปรากฏว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ถูกใจชาวอเมริกันส่วนหนึ่ง

เมื่อชนะศึกเลือกตั้งแล้ว ทรัมป์เปิดฉากสงครามการค้ากับจีนตั้งแต่ต้นปี 2561 ทั้งการกล่าวหากันไปมาและการตั้งกำแพงภาษีสูงลิบ
แม้ต่อมาสองประเทศลงนามข้อตกลงเฟสแรกกันได้ในเดือน ม.ค. แต่ยังมีเรื่องค้างคาที่ต้องสะสางกันอีกมาก

หัวเว่ย

บริษัทเทคโนโลยีหัวเว่ยของจีนตกเป็นเป้าโจมตีของสหรัฐ ว่าขโมยความลับทางการค้าของอเมริกัน รวมทั้ง การออกแบบซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีของอเมริกันและเตือนว่าจีนใช้อุปกรณ์สอดแนมให้เข้าถึงข้อมูลการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือหัวเว่ย พร้อมทั้ง สั่งห้ามขายสินค้าหัวเว่ย

แม้หัวเว่ยปฏิเสธ และสุดท้าย สหรัฐยกเลิกคำสั่งแบนหัวเว่ยเสียเอง แต่ไม่ลดละการยื่นเรื่องขอให้แคนาดาส่งตัว นางเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ย และผู้บริหารสูงสุดทางด้านการเงินหัวเว่ย ที่ถูกจับกุมในแคนาดามาให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

อุยกูร์

การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐจีนต่อชาวอุยกูร์เป็นอีกจุดอ่อนที่สหรัฐใช้โจมตีจีนอย่างหนัก ว่าคุมขังชาวมุสลิมอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยกว่าล้านคนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

นักเคลื่อนไหวและชาวอุยกูร์ผู้รอดพ้นออกมาจากคุก กล่าวว่าจีนกำลังกลืนวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยและธรรมเนียมของชาวมุสลิม แต่จีนแก้ต่างว่าเป็นการตัดกำลังพวกหัวรุนแรง

ไต้หวัน

แม้ไต้หวันมีประชาธิปไตยที่ไปไกลแล้ว แต่จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และหากจำเป็นต้องใช้กำลัง ก็จะต้องผนวกไต้หวันให้ได้

สหรัฐเป็นพันธมิตรกับไต้หวันและค้าอาวุธให้กับไต้หวันมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ทำให้จีนออกอาการโกรธอยู่เป็นระยะ

เร็วๆ นี้ คือกรณีนายไมก์ พอมเพโอ รมว.การต่างประเทศสหรัฐแสดงความยินดีกับนางสาวไช่ อิง-เหวิน ที่สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 จีนได้แต่กัดฟันบอกว่า การแสดงออกของนายพอมเพโอนั้นอันตรายอย่างยิ่ง

ทะเลจีนใต้

สหรัฐกับจีนปะทะกันเรื่องข้อพิพาทในทะเลจีนใต้มาหลายครั้ง รวมถึงเรือที่โฉบเฉียดกันไปมาในทะเลดังกล่าว

ฝ่ายจีนอ้างว่าพื้นที่เกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้เป็นของจีนและสร้างเกาะเทียมพร้อมทั้งเสริมสมรรถภาพทางทหารบนเกาะ รวมทั้ง ให้เรือรบลาดตระเวนและชนเรือประมง ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านไม่พอใจ

ส่วนสหรัฐอ้างเสรีภาพในการเดินเรือและล่องเรือไปใกล้กับอาณาเขตที่จีนอ้างว่าเป็นอธิปไตยของจีน อีกทั้งยังผูกมิตรทั้งกับฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ชาติที่พิพาทกับจีนในพื้นที่นี้