เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่จีนพัฒนาขึ้น อาจพร้อมวางสู่ตลาดอย่างเร็วที่สุดในปลายปีนี้ จากการเปิดเผยของคณะกรรมกรรมการบริหารและกำกับดูแลทรัพย์สินของทางการจีน (เอสเอเอสเอซี) ผ่านทางวีแชท โซเชียลมีเดียแพลทฟอร์มหนึ่งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า ในการทดลองกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 2,000 คน ได้รับวัคซีนที่พัฒนาโดยสถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพอู่ฮั่นและสถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพปักกิ่ง ซึ่งวัคซีนนี้อยู่ในการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 2 โดยอาจพร้อมวางสู่ตลาดได้อย่างเร็วที่สุดในปลายปีนี้หรือต้นปี 2021

สถาบันพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาทั้งสองแห่งนี้ เป็นสถาบันในเครือของกลุ่มซิโนฟาร์ม บริษัทเภสัชกรรมของทางการจีนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเอสเอเอสเอซี

ข่าวระบุว่า ไลน์การผลิตของสถาบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพปักกิ่ง จะสามารถผลิตวัคซีนดังกล่าวได้ราว 100-120 ล้านโดสต่อปี ทั้งนี้จีนกำลังทำการทดลองใช้วัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 5 ตัวในคนอยู่ แต่ยังไม่มีบริษัทใดให้ความเห็นได้

ขณะที่ รัฐบาลไต้หวันได้อนุมัติให้ใช้ยาเรมเดซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสผลิตโดยบริษัทกิเลียด ไซเอ็นส์ อิงค์ ของสหรัฐอเมริกา ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในไต้หวันแล้ว โดยศูนย์ควบคุมโรคระบาดกลางของไต้หวันแถลงว่า สำนักงานอาหารและยาไต้หวันได้พิจารณาจากหลักฐานที่สนับสนุนข้อเท็จจริงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาเรมเดซิเวียร์และยาตัวนี้ยังได้รับการอนุมัติจากหลายประเทศให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ โดยทางศูนย์ควบคุมโรคระบาดกลางของไต้หวันจะให้ใช้ยาเรมเดซิเวียร์ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง

ทั้งนี้ รัฐบาลหลายชาติกำลังเร่งสนับสนุนให้มีการผลิตยาเรมเดซิเวียร์ ที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐได้อนุมัติให้ใช้ยาตัวนี้เป็นกรณีฉุกเฉินในการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่อนุมัติให้ใช้ในวงกว้าง ขณะที่บริษัทกิเลียดระบุว่า ได้บริจาคยาเรมเดซิเวียร์ไปแล้วจำนวน 1.5 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างน้อย 140,000 ราย หลายชาติสหภาพยุโรปก็ได้ให้ใช้ยาเรมเดซิเวียร์รักษาผู้ป่วยโควิด-19 แล้วเช่นกันแต่ให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนญี่ปุ่นและอังกฤษได้เปิดทางที่จะให้มีการใช้ยาตัวนี้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 เช่นกัน