อดีต สมช. ชี้ปรองดองได้ยุติธรรมต้องมาก่อน ให้ย้อนดูทหารสลายชุมนุม กับกลุ่มรัฐประหาร57ที่นิรโทษตัวเอง

ศุกร์ 22พ.ค.63 พลโทภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯสภาผู้แทนราษฎรอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวถึง”กิจกรรมตามหาความจริง”เหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา53ว่า มันจะวนเวียนไม่รู้จบ ยากต่อการปรองดอง ตราบใดที่ความจริงยังไม่ปรากฎ เป้าประสงค์ประการหนึ่งของความมั่นคงแห่งชาติ คือความสามัคคีของชนในชาติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ตามปรัชญา”ยุติธรรมมี สามัคคีเกิด” ความยุติธรรมจึงเป็นคำตอบให้กิจกรรมดังกล่าวได้ ผนวกกับปรัชญาอมตะที่ว่า “เมื่อทำความจริงให้ปรากฏ ความชั่วร้ายจะหมดไป”ยังคงใช้ได้เสมอ แม้ความจริงอาจจะสร้างความปวดร้าว แต่มันไม่เป็นเหตุให้ต้องมาล้างแค้นกัน ในทางกลับกันมันคือบทเรียนที่สำคัญยิ่ง เพื่อไม่ให้เราหลงไปกระทำผิดซ้ำรอยเดิม เช่นเดียวกับทหารอาชีพเมื่อเข้าสู่สมรภูมิการรบ หลังจากเสร็จศึกจะต้องทำการสรุปบทเรียนเสมอ ไม่ว่าการยุทธครั้งนั้นจะได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ก็ตาม ต้องกล้าเผชิญรับรู้ถึงความปวดร้าวต่างๆนานาของสมรภูมินั้น ยอมรับมาสรุปเป็นบทเรียนกัน เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยเดิมกันอีกในอนาคต

แต่เมื่อย้อนกลับมาดูกลุ่มทหารที่รับผิดชอบสลายการชุมนุมเมื่อพฤษภา53 จนเป็นเหตุรุนแรงให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เห็นต่างต้องล้มตายลง พอ22พฤษภา57ก็มากระทำรัฐประหาร ซึ่งผิดกฎหมาย มีโทษประหาร แต่มานิรโทษตนเอง แสดงถึงความไม่เป็นทหารอาชีพ ไม่เคารพกฎหมาย ขลาดกลัว ไม่กล้ายอมรับความจริง แต่เหิมเกริมมาจัดตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้รับความจริงจาก”กิจกรรมตามหาความจริง”ตราบที่คนเหล่านี้ยังครองอำนาจอยู่ แต่เมื่อใดที่มีรัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนเกิดขึ้น การปฏิรูปขบวนการยุติธรรมและกองทัพให้เป็นทหารอาชีพก็จะตามมา สร้างสังคมยุติธรรม ความสามัคคีจะเกิดขี้น และเมื่อนั้นคำตอบความจริงที่รอคอยของ”กิจกรรมตามหาความจริง”ก็จะปรากฎ แต่ไม่มีการล้างแค้น มีเพียงการเยียวยาสมานแผลใจ เว้นกลุ่มไอ้โม่งคนตัวการมิอาจหลุดลอยนวลไปได้ตามกฎแห่งกรรมที่ตนก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้กับผู้บริสุทธิ์ และวิบากกรรมกำลังไล่ล่าเป็นไฟลนก้นแล้ว