อ่วม! อดีตผอ.พศ.-พวก โดนคุก 23 ปี 4 เดือน ทุจริตงบฯพศ. อีกคดี 29 ปี 4 เดือน รวมชดใช้ 40 ล้าน

คุกอ่วมอีก 23 ปี 4 เดือนพนม ศรศิลป์กับพวกทุจริต 2 สำนวนเงินสำนักพุทธฯ ส่วนสำนวนหลังโดน 29 ปี 4 เดือนให้ชดใช้เงินรวม 2 คดีเกือบ 40 ล้าน ทั้งหมด 7 สำนวนคุก 91 ปี

เมื่อวันที่ 20  พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง .นครไชยศรี ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนวนที่ 6 คดีหมายเลขดำ อท.280/2561 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้องนายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(ผอ.พศ.) , นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา , นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา (..) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83,86 และ ...ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 ..2561 ระบุพฤติการณ์สรุปว่าปีงบประมาณ 2556-2557 สำนักงาน พศ. ได้รับงบประมาณตามแผนงานงบประมาณ เงินอุดหนุนการปฏิบัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรมเงินอุดหนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปรรยัติธรรม เงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมบาลี มี ผอ.พศ.เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว 

ประมาณต้นปี 2556 จำเลยที่ 2 ได้ไปพบเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เรื่องเงินอุดหนุนให้กับวัดบางอ้อยช้างจำนวน 2 ล้านบาท แต่ทางวัดบางอ้อยช้างจะต้องคืนเงินให้สำนักงานพศ.จำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ ทางเจ้าอาวาสวัดเห็นว่าวัดบางอ้อยช้างจะได้รับเงินมาบูรณะวัดที่กำลังทรุดโทรม เชื่อว่าเงินที่คืนให้กับจำเลยที่ 2 ไปสามารถช่วยทำประโยชน์แก่วัดต่างๆ ได้ และเชื่อมั่นวางใจในจำเลยที่ 2 จึงได้ลงลายมือชื่อขอรับเงินงบประมาณตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้เลือกวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตจังหวัดนนทบุรีตามที่เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างเสนอ โดยจำเลยที่ 2 ได้ให้เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างดำเนินการแทนวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตเพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 – 26 กันยายน 2557 จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันวางแผนสมคบกันทุจริตอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการปริยัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม , โครงการเงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และโครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมบาลี เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน พศ

โดยวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยที่ 2 อนุมัติโอนเงินอุดหนุนจำนวน 2 ล้านบาท ให้วัดบางอ้อยช้างและได้รับเงินคืนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงาน พศ.

วันที่ 2 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1-3 ขออนุมัติเงินเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมใช้เงินงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อผลิตสื่อการสอนประกอบการเรียนการสอนธรรมศึกษาแก่วัดบางอ้อยช้าง ทั้งที่จำเลยที่ 1-3 รู้อยู่แล้วว่าวัดบางอ้อยช้างไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จากนั้นเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้โอนเงินคืนกลับให้จำเลยที่ 2 จำนวน 8 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 1-3 ได้ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไป

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 จำเลยที่ 1 ,2 ,4 ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 5 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 4 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขตจำนวน 4.5 ล้านบาทโดยที่จำเลยที่ 1, 2, 4 และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. (ยังหลบหนีคดี)ทราบอยู่แล้วว่าการพิจารณาอนุมัตเงินดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิธีการงบประมาณเนื่องจากเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาไม่อยู่ในกิจกรรมจำนวน 8 กิจกรรมของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้เงินงบประมาณ และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ขอรับเงินคืนจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 3.2 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 3.6 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 10,800,000 บาท โดยจำเลยที่ 1,2,4 และนายนพรัตน์ อดีตผอ.พศ.ได้เบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไปโดยทุจริต

วันที่ 23 กันยายน 2557 จำเลยที่ 1, 2 ทำบันทึกข้อความเสนอนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมบาลีประจำปีงบประมาณ 2557 แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 1.5 ล้านบาท แล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปขอรับเงินคืนจำนวน 1.3 ล้านบาท รวมเงินงบประมาณที่สำนักงาน พศ. โอนให้กับวัดบางอ้อยช้าง , วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต เป็นเงินทั้งสิ้น 28 ล้านบาท และมีการรับเงินคืนไปรวม 21,700,000 บาท

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) 157  (เดิม)  162 (4 ) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต .. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147  (เดิม)  157  (เดิม)  162  (เดิม) ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ..2542 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147  (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงแรกจำคุก 14 ปี กระทงที่ 2 จำคุก 15 ปี กระทงที่ 3 จำคุก 6 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 35 ปี

จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงแรก 6 ปีกระทงที่ 2 จำคุก 14 ปีกระทงที่ 3 จำคุก 15 ปีกระทงที่ 4 จำคุก 6 ปีรวม 4 กระทงจำคุก 41 ปี

จำเลยที่ 3 จำคุก14 ปี และจำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี

ทางนำสืบของจำเลยทั้ง 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละ 1 ใน3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 23 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 2 มีกำหนด 27 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 4 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือนให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน 1.6 ล้านบาทคืนแก่ สำนักงาน พศ.ผู้เสียหาย ให้จำเลยที่ 1 ,2,4 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 10,800,000 บาท กับให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,300,000 บาทคืนแก่ผู้เสียหายอีกด้วย

ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.253/ 2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562 ของศาลนี้

นักโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562

นับโทษจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561

นอกจากนี้ในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ศาลยังอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงาน พศ. สำนวนที่ 7 ด้วยในคดีหมายเลขดำ อท.281/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม อดีต ผอ.พศ. , นายบุญเลิศอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา , นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษาเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา (..) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83 และ ...ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 พฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อนายนพรัตน์ผอ.พศ.ในขณะนั้น ให้สนับสนุนงบประมาณการจัดการศึกษาพระปริยติธรรมให้แก่สำนักเรียนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการจำนวน 15 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท และทางเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้คืนเงินให้กับจำเลยที่ 2 ไป 4 ล้านบาท จำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริต

วันที่ 26 กรกฎาคม 2556 จำเลยที่ 1 และถึงที่ 4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมโดยใช้งบประมาณ 8 ล้านบาทให้แก่วัดใหม่ผดุงเขต 2.5 ล้านบาท วัดศรีเรืองบุญ 3 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมาขอรับเงินคืนไปจากวัดใหม่ผดุงเขต จำนวน 2 ล้านบาทและวัดศรีเรืองบุญจำนวน 2.4 ล้านบาท

วันที่ 6 สิงหาคม 2556 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมต่อนายนพรัตน์จำนวน 9 ล้านบาทมอบให้แก่วัดศรีเรืองบุญ วัดใหม่ผดุงเขตและวัดอ้อยช้างจำนวนวัดละ 2 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 มาขอรับเงินคืนไปวัดละ 1.6 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมนายนพรัตน์จำนวน 20 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 6 ล้านบาทวัดศรีเรืองบุญวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 3 ล้านบาททั้งที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าทั้ง 3 วัดไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาในสังกัดหรือตั้งอยู่ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้มาขอรับเงินคืนไปจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4.8 ล้านบาทวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 2.4 ล้านบาทโดยจำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์เบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ซึ่งจำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ พร้อมสืบพยานต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำและทัณฑสถานหญิงกลาง 

ขณะที่ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ..มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 กระทงรวมโทษทั้งสิ้น 44 ปี (กระทงแรกจำคุก 9 ปี , กระทงที่ 2-3 จำคุกกระทงละ 10 ปีเป็น 20 ปี , กระทงที่ 4 จำคุก 15 ปี)

โดยทางนำสืบของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 29 ปี 4 เดือนและให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน 28,500,000 บาท คืนสำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย 

พร้อมกับนับโทษของ นายพนม อดีต ผอ.ผศจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561 , อท.257/2561 , อท.32/2562 , อท.280/2561 , อท.43/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย 

ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำอท.254/2561 , อท.280/2561, อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย

สำหรับนายแก้ว อดีตนักวิชาการกองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 3 และนางพรเพ็ญ อดีตนักวิชาการ กองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 , อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโทษจำคุกในส่วนของนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ที่ศาลมีคำพิพากษารวม 7 สำนวนในความผิดการทุจริตงบ พศ.นั้น รวมเวลาจำคุกทั้งสิ้น 91 ปี 36 เดือน และมูลค่าเงินเสียหายที่ต้องร่วมกับพวกชดใช้คืนสำนักงาน พศ.ทั้งสิ้น 85,207,235 บาท แต่อย่างไรก็ดีโทษใน 7 สำนวนดังกล่าวยังเป็นเพียงการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นซึ่งคู่ความยังยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ได้อีกตามสิทธิและขั้นตอนกฎหมาย