“ชัยธวัช” ยื่นเส้นตาย ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ก่อนเปิดประชุมสภา ยันไม่มีเหตุผลใดให้ขยายต่ออีกแล้ว

วันที่15 พฤษภาคม 2563 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แสดงความคิดเห็นหลังจาก ศบค แถลงผ่อนปรน พรก ฉุกเฉินว่า ในวันนี้คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก กับการที่ยังคงใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป โดยอ้างการระบาดซ้ำและฉากทัศน์การระบาดที่จะเพิ่มขึ้นหากมีการผ่อนปรนมาเป็นเหตุให้ประชาชนหวั่นวิตกและยอมอยู่ภายใต้อำนาจเข้มข้นของรัฐบาลต่อไป

แต่ผมยังขอยืนยันตามที่ได้กล่าวไว้เมื่อวานนี้ ว่าทุกวันนี้ไม่เหลือเหตุอันควรใดๆ ที่จะต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีกแล้ว และการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ไปจะต้องหันไปสู่ทิศทางของการเยียวยาและพื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 และมาตรการของรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์ฉุกเฉินยืดยาวออกไปเท่าใด การฟื้นตัวกลับมาก็จะยากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

แม้จะมีการลดเวลาเคอร์ฟิวไป 1 ชั่วโมง และเปิดให้ห้างร้านบางประเภทกลับมาค้าขายได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีกิจการอีกเป็นจำนวนมาก เช่น สถานบันเทิง สถานที่ออกกำลังกายบางประเภท สถานเสริมความงามบางประเภท ร้านนวดแผนไทย โรงภาพยนตร์ สถาบันกวดวิชา ฯลฯ ยังมีคนทำงานอีกนับล้านคนที่จะยังต้องขาดรายได้ต่อไป รวมถึงอีกนับล้านคนที่ยังต้องตามเรียกร้องสิทธิได้รับการเยียวยาอย่างไม่รู้จุดจบ

และหากว่าสถานที่อย่างห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกค้าส่ง และตลาดต่างๆ สามารถผ่อนปรนให้เปิดบริการได้ ก็น่าจะเป็นตัวบ่งชี้แล้วว่าความฉุกเฉินของสถานการณ์ไม่ได้เทียบเท่ากับที่เป็นตอนเริ่มประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และสมควรพิจารณาใช้เครื่องมือทางกฎหมายอื่นๆ มาใช้ในการควบคุมโรคทดแทนได้แล้ว

การยุติสถานการณ์ฉุกเฉินจึงต้องเกิดโดยเร็วที่สุด เพื่อนำบรรยากาศของการกลับสู่สภาวะปรกติและการฟื้นฟูสิ่งที่เสียหายมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง แม้การระบาดระลอกใหม่อาจเกิดขึ้น แต่ด้วยศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยและการเตรียมความพร้อมมาเกือบ 2 เดือน ก็ย่อมสามารถรับมือต่อสถานการณ์ที่จะเข้ามาในอนาคตได้เช่นกัน

ผมขอให้รัฐบาลทบทวนอีกครั้งถึงการยกเลิกการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยต้องยกเลิกให้ได้ก่อนการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ เพราะจะต้องมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ และร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ที่จะเป็นกฎหมายสำคัญในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งสมควรที่จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดโดยไม่ถูกขัดขวางจากการเคอร์ฟิวหรือมาตรการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ใดๆ ทั้งสิ้น

ผมขอย้ำอีกครั้งว่าเราต้องการ New Normal ที่ประชาชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้โดยที่ยังมีกลไกป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการระบาด ไม่ใช่ New Abnormal ที่ใช้ชีวิตอย่างติดขัดภายใต้สภาวะไม่ปรกติแบบไม่เห็นจุดหมายปลายทางอย่างที่เป็นอยู่นี้